01 มีนาคม 2555

เพชร ซาอุ ดร

เพชร ซาอุ ดร
เพชร ซาอุ ดอน
บินลาเดน สายลับสองหน้าของซาอุ รับอาวุุธจากอเมริกาไปรบกับโซเวียตในอัฟกานิสถาน รับบทผู้ก่อการร้ายของCIA เป็นภัยคุกคามล้มล้าง ระบบกษัตริย์ซาอุ โดยมีปฏิบัติการความมั่นคงของสหรัฐให้กับซาอุ และตกลงกันเรื่องราคาน้ำมันได้ โดย
ที่บินลาเดนออกมาต่อต้านการตั้งฐานทัพสหรัฐในซาอุถูกถอนพาสปอร์ตว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่เวลาผ่านไปนับสิบปี เมื่อถูกสหรัฐยื่นโนติ๊ส ราชวงศ์ซาอุจึงมีการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายในซาอุ โดยไม่มีกลุ่มอื่นมาเป็นภัยคุกคามราชวงศ์ซาอุอีก
ปฏิบัติการเพชรซาอุ เป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ผลิตน้ำมัน กับประเทศที่ผลิตข้าวซึ่งเกิดการหลั่งไหลของแรงงานภาคเกษตรไปยังซาอุ และมีนายหน้าส่งแรงงานเป็นญาติดองกับราชวงศ์ซาอุที่หายสาบสูญ ซึ่งคาดว่า มีเจ้าหน้าที่
อย่างน้อยสองคน สร้างสภาพแวดล้อมให้นายเกรียงไกร เข้าไปถึงตู้เซฟและกุญแจได้ ปัจจุบัน อิหร่านได้ทำการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำแปลงปลูกข้าวในประเทศได้อย่างก้าวหน้า
คนที่คิดแบบขโมย จะซ่อนของไว้ในที่ๆคนคิดไม่ถึง แต่คาดว่า เขายังกลับเข้าไปเอาของส่วนนึงในพื้นที่ของกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ แต่เมื่อเรื่องถึง พหูพจน์ ตำรวจจึงไม่ต้องการพูดถึง
พลตำรวจเอก สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็น รองหัวหน้าคณะ รสช.
พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ (19 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นามสกุลเดิม "ก้อนแก้ว") อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และอธิบดีกรมตำรวจ ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 - 30 กันยายน พ.ศ. 2537 เป็นนายตำรวจที่ได้ชื่อว่าตงฉิน












  • บุคคลดีเด่นระดับชาติ สาขาการเมืองและการปกครองด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จากคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี






























  • โล่ประกาศเกียรติคุณ สาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ในโอกาสครบรอบการสถาปนากรมป่าไม้ 97 ปี (พ.ศ. 2536)






























  • บุคคลยุติธรรมแห่งปี พ.ศ. 2533 จากวารสารหมอความยุติธรรม






























  • รางวัล "สังข์เงิน"ประจำปี พ.ศ. 2530 สาขาเสริมสร้างความสงบสุขในสังคม



















  • เนื่องจากกรณีการชกหน้าสมาชิกรัฐสภา ในที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 เวลากลางวัน ระหว่างประชุมวุฒิสภา พล.ต.อ.ประทิน ได้ชกต่อยเข้าที่ใบหน้าของ นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอน เหตุเกิดที่อาคารรัฐสภา เนื่องจากสาเหตุที่ นายอดุลย์ลุกจากที่นั่งเดินเข้ามาในระยะประชิด เพราะมีความเห็นขัดแย้งกัน กรณีการเผยแพร่เอกสารสมุดปกเหลือง เรื่อง "ความจริงที่ตากใบ" อันเป็นรายงานเกี่ยวกับความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ ของทีมงานที่นำวุฒิสภากลุ่มหนึ่ง นำโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง การชกหน้าทำร้ายร่างกาย ของสมาชิกวุฒิสภาด้วยกัน ในระหว่างที่มีการประชุมกัน ซึ่งได้รับการวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างยิ่งของวงการการเมืองไทย[4]
    แต่ทว่า การกระทำในครั้งนี้ กลับได้รับการสนับสนุนจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 โดยให้เหตุผลว่า เป็นการทำไปเพราะถูกยั่วยุก่อน และได้ยกย่อง พล.ต.อ.ประทินว่าเป็น สว.ที่เป็นกลาง[5]
    ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 พล.ต.อ.ประทิน ได้แสดงความรับผิดชอบจากกรณีดังกล่าวในขั้นต้น ด้วยการลาออกจากคณะกรรมการจริยธรรมของวุฒิสภา จากนั้นหลังจากที่เหตุการณ์ชกต่อยในวุฒิสภาผ่านมาได้ 1 ปี ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ได้ประกาศลาออกจากสมาชิกภาพของ ส.ว. โดยให้เหตุผลว่า เพื่อรับผิดชอบเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่เพื่อไม่ให้ประเทศต้องเสียเงินค่าเลือกตั้งซ่อม จึงลาออกในช่วง 6 เดือนสุดท้าย ก่อนที่วุฒิสภาจะหมดอายุลง และไม่ต้องมีเลือกตั้งใหม่ ซึ่งในกรณีนี้ต่อมา ศาลได้ยกฟ้องพล.ต.อ.ประทิน เนื่องจากเห็นว่าเป็นการป้องกันตัว เพราะคู่กรณีได้เดินเข้ามาหาก่อน[6]
    จากนั้นในคืนวันที่ 13 มกราคม ต่อเนื่องถึงวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2549 พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ พร้อมด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.), ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.คณิน บุญสุวรรณ, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายการุณ ใสงาม, นายสมาน ศรีงาม และอีกหลายคนได้นำขบวนประชาชนที่มามาร่วมฟังรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร กว่า 2,000 คนเดินทางจากสวนลุมพินีมายังหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนายสนธิได้กล่าวว่าที่นำมาประชาชนมายัง ณ ที่นี่ ก็เพราะต้องการมาเป็นเพื่อนของ พล.ต.อ.ประทิน ที่ได้กล่าวไว้ก่อนเริ่มรายการ[7]
    หลังจากนั้นมา พล.ต.อ.ประทิน ได้ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกหลายครั้ง โดยมักขึ้นเวทีในรายการของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และได้แสดงความเห็นทางช่อง ASTV อีกหลายครั้งด้วย

    แต่คาดว่ามีคนได้ยินคำสบถ ว่า พวก า___ติด ด้วย


    พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 เป็นบุตรของ พระวรสิทธิวินิจฉัย และนางล้อม บุณยะจินดา เป็นหลานปู่พระยาอาจอำนวยกิจ (รั้งตำแหน่งแทนอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข) และคุณหญิงลำใย บุณยะจินดา สมรสกับ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา (บัวทรัพย์) มีบุตร-ธิดารวม 3 คน คือ
    1. นางพอฤทัย ณรงค์เดช (บุณยะจินดา)
    2. นายพันกร บุณยะจินดา
    3. นางสาวดวงพร บุณยะจินดา (นิตา) (สรวยสุวรรณ) (บุตรบุญธรรม) โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ดีไซน์และตัดเย็บที่โรงเรียนระพี, ด้านการดีไซน์ MADAME FLERI DELA FORTE ประเทศฝรั่งเศส, โรงเรียนสอนเกี่ยวกับแฟชั่นชั้นสูง CHAMPBRE SYNDICAL DE LA HAUTE COUTURE ประเทศฝรั่งเศส และโรงเรียน ESMOD ประเทศฝรั่งเศส
      เจ้าของ และนักออกแบบห้องเสื้อ Alisa ติดกับ D Café ร้านอา หารฝรั่งเศสทองหล่อ3 เจ้าของร้านสนิทสนมกับ เจ้าหญิงแหม่ม เป็นอย่างดี สมัยที่ยังไม่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกก็เคยแวะเวียนไปหากันบ่อยครั้ง
    เบนโล อดีต CEO เลย์ เคลียร์สัญญา บินหลบ 7 เดือน คลอด ที่สัญชาติอเมริกัน โดยมีหมอที่เป็นน้าดูแลครรภ์
    โดยมีข่าวลือว่า คุณหญิงพจน์ มาณ ให้ 40-80 ล้านที่อิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค

    เยล  หลี แมค อิน ทอด ไข่แฝด ฝ่อ

    โรงพยาบาลกรุงเทพ และอีกหลายแห่ง ประกาศลบประวัติคนไข้

    http://webcache.googleusercontent.com/search?rlz=1T4ADFA_enTH454TH454&gbv=1&sei=QrNNT-vCKuGO0gHFgc3JAg&hl=th&q=cache:zZnShp0T18MJ:http://www.thairath.co.th/people/view/life/2656+%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3+%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93&ct=clnk

    http://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93++%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2&sourceid=navclient&rlz=1T4ADFA_enTH454TH454&gbv=1&sei=QrNNT-vCKuGO0gHFgc3JAg


    โดยพล.ต.อ.พจน์ ถือเป็นคู่เขยกับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากภรรยาของทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน











  • จบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนสารวิทยา






























  • จบเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 2 (ม.8) จากโรงเรียนเทเวศร์ศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2499






























  • สำเร็จปริญญารัฐประศาสนศาตรบัณฑิต จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นที่ 13 เมื่อปี พ.ศ. 2503






























  • พฤษภาคม พ.ศ. 2503 รองสารวัตรป้องกัน สถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย






























  • พ.ศ. 2505 รองสารวัตรป้องกัน สถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่






























  • พ.ศ. 2509 รองสารวัตรป้องกัน สถานีตำรวจนครบาลสำเหร่






























  • สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตรการสืบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 16 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2511






























  • พ.ศ. 2513 ผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระประแดง จว.สมุทรปราการ
























  • พ.ศ. 2517 สารวัตรแผนก1 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม และทำหน้าที่เป็นหัวหน้า สถานีวิทยุเสียงสามยอด (ส.ส.ส.)



























  • พ.ศ. 2519 รองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม






























  • พ.ศ. 2522 อาจารย์วิชากฎหมาย ภาควิชากฎหมาย กองบังคับการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ





























  • พ.ศ. 2523 ผู้กำกับการ 2 สำนักงานเลขานุการ กรมตำรวจ























  • พ.ศ. 2524 ผู้แถลงข่าวกรมตำรวจ (สมัยที่ 1) ทำหน้าที่ควบคุม วางแผน และดำเนินการประชาสัมพันธ์ ของกรมตำรวจ
























  • พ.ศ. 2525 รองผู้บังคับการกองทะเบียน กรมตำรวจ






















  • พ.ศ. 2526 รองเลขานุการกรมตำรวจ






















  • พ.ศ. 2527 เลขานุการกรมตำรวจ และผู้แถลงข่าวกรมตำรวจ (สมัยที่ 2)






















  • พ.ศ. 2529 ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง






















  • พ.ศ. 2531 รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง























  • พ.ศ. 2532 ผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ (ทำหน้าที่ ผู้อำนวยการสำนักงานสารนิเทศ) และผู้แถลงข่าวกรมตำรวจ






























  • พ.ศ. 2533 ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ






























  • พ.ศ. 2534 รองอธิบดีกรมตำรวจ






























  • พ.ศ. 2537-2540 อธิบดีกรมตำรวจ




















  • มูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว มอบทุนการศึกษาให้แก่บุตรข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2553 จำ ณ ห้องบุณยะจินดา .ที่สโมสรตำรวจ






























  • ซาอุเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม ไทยเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ
    เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นแค่เรื่องระหว่างประเทศ กลุ่มทุนเจ้าซาอุยังมีการเข้ามาซื้อ บ.ชลประทานซีเมนต์ในไทยอยู่ อาจจะเนื่องจากปูนซีเมนต์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศในทะเลทราย แต่ชาติตะวันตกคงไม่อยากถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ประเทศ
    ผลิตน้ำมัน แต่กู้ BBC มาซื้อ เกริกเกียรติกับราเกซได้ปล่อยกู้ให้อัดนัน คาช็อกกี้ มหาเศรษฐีซาอุฯกู้BBC 3,302ล้านบาทไปเทกโอเวอร์กิจการบริษัทชลประทานซีเมนต์(JCC) และSVI โดยน่าสนใจตรงที่ว่ามีที่ดินอำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ในราคาประเมิน914ล้านบาทเป็นหลักประกัน และต่อมากลายเป็นหนี้เน่า
    http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:-8J0JZUybeYJ:www.bloggang.com/viewblog.php%3Fid%3Dspiral%26group%3D30%26page%3D8+%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8+%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C&cd=8&hl=th&ct=clnk&gl=th




    คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย พ.ศ. 2532 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2532

    เจ้าชาย Faisal Bin Fahd Bin Abdul Aziz (1945 - 21 สิงหาคม 1999) เป็นลูกชายคนโตของฟะห์ของซาอุดีอาระเบีย เขาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและเป็นประธานหรือประธานของหน่วยงานหลายที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาเขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาร์บารา, จบการศึกษาในปี 1971 ในปีที่เขากลายเป็นประธานสหพันธ์ฟุตบอลซ​​าอุดีอาระเบีย เขากลายเป็นประธานของซาอุดิอาราเบียคณะกรรมการโอลิมปิกในปี 1975 และประธานสภาอาหรับเกมส์ในปี 1976 เขากลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลในปี 1984 เขายังเป็นประธานของสหภาพอาหรับฟุตบอล, ฟุตบอลยูเนี่ยนอาหรับและหัวของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมยาเสพติด เขายังทำหน้าที่ในระดับนานาชาติในฐานะประธานของสมาคมว่ายน้ำนานาชาติในปี 1981 เขาเป็นประธานสหพันธ์กีฬาสำหรับอิสลามเป็นปึกแผ่นและในปี 1982 คณะกรรมการระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์มรดกของอารยธรรมอิสลาม ตั้งแต่ปี 1979 เขาเป็นประธานคณะกรรมการศาลฎีกาของราชอาณาจักรสำหรับการทำบุญในวรรณคดีรางวัล ในปี 1984 เขาได้เข้าร่วมคณะกรรมการโอลิมปิกสากล เขาได้รับตำแหน่งประธานของสมาคมซาอุดิอาราเบียสำหรับหอพักเยาวชนตั้งแต่ปี 1973 และตั้งแต่ปี 1984 ได้เป็นประธานคณะกรรมการต่อต้านยาเสพติดแห่งชาติ ในปี 1992 เขาก็กลายเป็นประธานของประเทศซาอุดิสภากีฬาสำหรับคนพิการเขาเสียชีวิตจากหัวใจวายใน King Faisal Specialist Hospital, ริยาด, 1999 อายุ 54 ไม่นานหลังจากที่กลับมาจากเกมอาหรับแพนในประเทศจอร์แดน
    http://web.archive.org/web/20070929092044/http://saudiembassy.net/1999News/News/OthDetail.asp?cIndex=1956




    www.startupoverseas.co.uk › ... › Starting a Business
    www.luxembourgforbusiness.lu/market-entry-guid

    ไทม์: เพชรซาอุฯสีน้ำเงินที่ถูกขโมย – ยังคงเป็นเรื่องทิ่มแทงใจ http://liberalthai.wordpress.com/2010/03/08/thailands-blue-diamond-heist-still-a-sore-point/




    http://angkul007.wordpress.com/2007/07/17/%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8/


    สมัยที่แรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯได้ ค่าหัวคิวส่งแรงงานไทยแพงมากๆ หัวละเป็นแสนๆบาท โดยมีหัวหน้ามาเฟียไทยเป็นผู้เรียกเก็บ จ่ายใครบ้างไม่ทราบ ทางการประเทศซาอุฯก็พยายามปราบปรามเรื่องนี้ มีการย้ายเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่ากลับประเทศ และส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำการสืบสวนอย่างลับๆ จากการเข้มงวดกวดขันของทางการซาอุฯ ทำให้วงจรอุบาทว์ส่วยแรงงานชะงัก จึงทำให้มีการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง
    1. ปมขัดแย้งครั้งแรก เมื่อประมาณปลายปี 2531 ในขณะที่แรงงานไทยส่งไปซาอุฯยังฟูเฟื่อง เมืองไทยเป็นสวรรค์ของคนซาอุฯ ในกรุงเทพฯแถวซอยนานาเหมือนกับเมืองๆหนึ่งในประเทศซาอุฯ เดินไปไหนก็มักจะพบแต่คนแต่งกายชุดขาว ชุดดำคลุมศีรษะแบบอาหรับมิดเดิลอีส รวมทั้งร้านค้าร้านอาหารบริการชาวตะวันออกกลาง เวลาเดียวกันที่พัทยาใต้แถวมาลินพลาซ่าก็คราคร่ำไปด้วยนักท่อเที่ยวจากซาอุฯ เกือบจะเรียกได้เลยว่าบริเวณทั้งสองแห่งนี้กลายเป็นเมืองตะวันออกกลางไปแล้ว

    ที่พัทยามีการแบ่งโซนกินและที่ยวอย่างชัดเจน ไม่มีการล่วงล้ำแดน ทำให้อยู่กันได้อย่างสงบ บรรดาหญิงบาร์อะโกโก้ สาวนั่งดริ๊งค์ สาวขายบริการ สาวนั่งชั่วโมง จากทุกสารทิศเฮโรไปขุดทองที่พัทยา
    กลุ่มซาอุฯอยู่แถวพัทยาใต้ ย่านมาลินพลาซ่าและโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ มีโบว์ลิ่งอยู่ที่ชั้นล่าง โรงแรมนี้ซาอุฯเหมาไปเลย
    ฝั่งตรงข้ามกับมาลินพลาซ่าด้านฝั่งทะเล ย่าน Babyอะโกโก้ เป็นถิ่นของ นายโรต้า แก๊งเยอรมัน
    แถวพัทยากลางกลุ่มฮอลแลนด์ยึดครอง พวกไต้หวันยึดหัวหาดอยู่พัทยานาเกลือ
    สถานบริการที่พัทยาเปิดดึกเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว

    ในปลายปี 2531นั้นเอง มี จนท.กงศุลของซาอุฯถูกลอบสังหารที่พัทยาในขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์พัทยาใต้ ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายควบมอเตอร์ไซด์มีชายมือปืนนั่งซ้อนท้าย แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถมอเตอร์ไชด์ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถโดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 7.65 มม.หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือปล่อยลูกกระสุนเป็นชุด 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายคือ จนท.กงศุล ถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย.ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรออยู่ แล้วคนร้ายที่เป็นผู้ลั่นกระสุนก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.เร่งเครื่องแผดดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืด ทิ้งไว้แต่เสียงเครื่องยนต์ที่ค่อย ๆแผ่วลง ๆ มองไม่เห็นตัวรถ

    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่ถึงจะเร็วอย่างไรก็ไม่พ้นสายตาของกลุ่มนายตำรวจหนุ่มที่เพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย กำลังนั่งพักผ่อนปล่อยอารมณ์ดื่มเบียร์กันอยู่ประมาณ 3-4 คน ทุกคนไม่มีอาวุธปืน ไม่มียานพาหนะ เพราะมาพักผ่อนมิได้มาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขานั่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร เห็นคนร้ายหลังจากเสียงปืนดัง ได้ยินแต่เสียงเร่งเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ ไม่สามารถจำอะไรได้เลย ทุกคนวิ่งไปที่เกิดเหตุก็พบว่าเหยื่อตายสนิท ทุกคนยอมรับฝีมือการยิงของมือปืน แม่นยำและมีความชำนาญในการใช้อาวุธ การสืบสวนคดีนี้ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด

    2. เหตุการณ์ต่อมา เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอและ เลขานุการโทประเทศซาอุฯประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือ“บังมุด” จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลพิพากษายกฟ้อง หลังจากคดี“บังมุด”แล้วยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย
    รายแรก จนท.สถานทูตซาอุฯถูกยิงเสียชีวิต 3 ศพในวันเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุมี ๒ จุด เวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ โดยคนร้ายใช้อาวุธปืนพกขนาด 7.65 มม.หรือขนาด .32
    รายที่ ๒ ในระยะเวลาใกล้เคียงกับเหตุรายแรก ก็มีนักธุรกิจของประเทศซาอุฯถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน ในขณะที่การสืบสวนคดีเรื่องฆ่า จนท.ทูตซาอุฯและคดีนักธุระกิจหายตัวยังไม่คลี่คลาย คดีโจรกรรมเพชรซาอุฯก็เกิดขึ้น เป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งเรื่องที่สาม
    3. ประมาณปลายปี 2532 ตอนกลางๆเดือนธันวาคม มีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า รัฐบาลประเทศซาอุฯประสานมายังรัฐบาลไทย ว่า มีคนไทยที่ไปทำงานที่ประเทศซาอุฯโจรกรรมเพชรล้ำค่า จากวังเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส มูลค่าหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศซาอุฯเข้มงวดแรงงานไทยที่จะไปทำงานซาอุฯมากยิ่งขึ้น

    ขั้นต้นรัฐบาลไทยปฏิเสธ ต่อมารัฐบาลประเทศซาอุฯยืนยันว่า คนร้ายที่กระทำผิดเป็นคนไทยที่ไปทำงานในประเทศซาอุฯแน่นอน และได้หนีกลับประเทศไทยแล้ว ขอให้ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ

    หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยทุกฉบับลงข่าวเรื่องโจรกรรมเพชรซาอุฯ ระบุคนร้ายคือนายเกรียงไกร เตชะโม่ง บ้านอยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ขณะนั้น พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย กำกับดูแลกรมตำรวจ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็น อ.ตร. มอบหมายให้มือปราบพระกาฬนำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบช.ก.ควบคุมกองปราบ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีนี้

    การเจรจาในทางการทูตเกิดขึ้น ประเด็นการเจรจา จะส่งตัวผู้กระทำผิดซึ่งเป็นคนไทยให้กับประเทศผู้เสียหายหรือไม่ ประเทศไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับซาอุดิอาระเบีย ในทางปฏิบัติจะส่งก็ได้ ไม่ส่งก็ได้

    ระหว่างเจรจาหาข้อยุติว่า จะส่งตัวหรือไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ขณะนั้นผู้กระทำผิดยังไม่ถูกจับกุม นสพ.ลงข่าวเพิ่มความกดดันให้กับนายเกรียงไกร เตชะโม่งเป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกจับตัวส่งไปให้ซาอุฯ ถูกแขวนคอตายสถานเดียว นายเกรียงไกรเห็นตัวอย่างในประเทศซาอุฯมาแล้ว ขนาดลักทรัพย์ธรรมดายังถูกตัดมือ แต่นี่ลักในพระราชวังกษัตริย์ไฟซาลผู้มีอำนาจ ก็คงจะถูกประหารชีวิตแน่นอน จึงทำให้นายเกรียงไกรต้องหนีสุดชีวิต พร้อมยาไซยาไน้ท์ติดตัวตลอดเวลา ถ้าถูกจับตัวได้ก็จะรีบกินยาไซยาไน้ท์ฆ่าตัวตายทันที

    รัฐบาลไทยตัดสินใจเลือกไม่ส่งตัวนายเกรียงไกรไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎหมายของประเทศซาอุฯรุนแรงเกินไป โดยจะขอดำเนินคดีในประเทศไทย

    ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยอำนาจการสอบสวนของไทย มาตรา 20 บัญญัติไว้ว่า “ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหน้าที่นั้นให้พนักงานสอบสวนคนใดก็ได้”

    หมวด 3 ว่าด้วยอำนาจศาล มาตรา 22 (2) “เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา………”

    เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ก็ได้ประสานให้ซาอุฯส่งตัวแทนในฐานะเป็นผู้เสียหายมาร้องทุกข์ดำเนินคดี ซึ่งประเทศซาอุฯก็ได้ส่ง ร.ต.อ.ซาแอค เอ็มเอส ซาซิส เข้ามาให้ถ้อยคำ และอัยการสูงสุดก็ได้มอบหมายให้กองปราบปรามเป็นพนักงานสอบสวน

    ย้อนกลับมาดูเรื่องการโจรกรรมเพชร ถ้าฟังตามข่าวแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าคนไทยตัวเล็กๆ ไม่มีการศึกษา จะสามารถอาจหาญเข้าไปโจรกรรมถึงในวังเจ้าชาย เข้าไปเอาได้อย่างไรในรั้วในวัง ทำกันกี่คน มีคนอื่นร่วมไหม ทำไมมันง่ายนัก ไม่อยากจะเชื่อ แล้วนำกลับเข้าเมืองไทยได้อย่างไร ผ่านการตรวจตราของทั้งสองประเทศ เวลาออกเมือง และเข้าเมือง หลุดรอดไปได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ศุลกากรตายังกับสับปะรด

    ติดตามรับฟังจากผมแล้วจะหายกังขา ถ้าไปอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์อย่างเดียวจะงง เพราะเรื่องนี้ไม่มีการแถลงข่าวกันอย่างละเอียด ข้ามตรงโน้นนิด ปิดตรงนี้หน่อย แต่งเติมไปบ้างเพื่อให้ดูดีไม่เสียหาย ไม่เสียฟอร์ม

    ที่จะนำมาเปิดเผยนี้เป็นส่วนที่เข้าไปสัมผัสจริง เพราะผู้เขียนอยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนโจรกรรมเพชรซาอุฯ ภาคสอง (ภาคแรก กองปราบเป็นผู้สืบสวนสอบสวนและจับกุมตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ส่งขึ้นศาล) ส่วนเพชรซาอุฯภาคสองนำโดย “เชอร์ล๊อคนู”(พล.ต.ท.ธนู หอมหวล ขณะนั้นตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง)

    คดีเพชรซาอุฯภาค ๑ มีการจับกุมนายเกรียงไกรฯผู้กระทำผิดได้ ติดตามยึดเพชรกลับคืน เมื่อนำเพชรส่งคืนไปให้กษัตริย์ไฟซาล ปรากฎว่า เพชรอัญมณีบางชิ้นที่ส่งคืนไปเป็นของปลอม ทำให้รัฐบาลซาอุฯไม่พอใจ ไม่ยอมรับแรงงานไทย ไม่ยอมให้คนซาอุฯเข้าประเทศไทย ขณะนั้นเป็นรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็น อ.ตร. พล.ต.ท.ธนู หอมหวล หรือเชอร์ล็อคนู เป็น ผบช.ก. “เชอร์ล๊อคนู” เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เป็น หน.ชุดสืบสวน พล.ต.ต.อังกูรฯ ผู้เขียนขณะนั้นยศ พ.ต.ท.ตำแหน่งเป็นรอง ผกก.2 ป. อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนเพชรซาอุฯภาคสองนี้ด้วย
    เรื่องที่ พล.ต.ท.ธนูฯได้รับมอบหมายให้สืบสวนสอบสวนมี 2 เรื่องด้วยกัน 1.กรณีฆ่า จนท. สถานทูตซาอุฯ 2.กรณีโจรกรรมเพชรซาอุฯ

    ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนของเชอร์ล็อคนู ในคดีแรก(คดี จนท.ทูตซาอุฯถูกฆ่า) ผลออกมาแบบชนิดไม่คาดคิด ผมเองก็ยังนึกไม่ถึง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร จะพูดถึงในโอกาสต่อไป

    ส่วนกรณีโจรกรรมเพชรซาอุ ฯภาคสอง เชอร์ล็อคนู ก็ยังสามารถเก็บตกได้ตัวผู้ต้องหาที่รับซื้อของโจร (ผู้รับซื้อเพชรและอัญมณี จากนายเกรียงไกร ที่โจรกรรมจากวังกษัตริย์ไฟซาล)ได้อีกหลายคน และพบว่ามี จนท.ตำรวจอมเพชรอีกด้วย

    เรื่อง จนท.อมเพชรของเชอร์ล็อคนู หรือเพชรซาอุฯภาคสองนี้ก็เล่นไม่ยาก กล่าวคือ ย้อนรอยการดำเนินการของตำรวจชุดแรก พบว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้นตามจุดต่างๆเมื่อพบของกลาง (ทรัพย์ที่จากการกระทำผิด) ที่ใด ก็จะทำบัญชีทรัพย์ที่ยึด แล้วนำไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจท้องที่ มีการส่งเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการณ์หลายชุด แยกย้ายกันไปตรวจค้นหลายจุด ทำให้มีบันทึกการตรวจยึดของหลายฉบับ แต่เมื่อนำผู้ต้องหา, ทรัพย์ของกลาง เข้า กทม.แล้ว พบว่าของกลางบางรายการหายไป บางทีก็ขาดหายไปทั้งบันทึก เนื่องจากมีการจัดทำบันทึกใหม่เพื่อให้เรียบร้อย เอกสารเก่ามีหลายฉบับ เลอะเทอะ เลยจัดทำใหม่รวมเป็นใบเดียว ทำให้มีสิ่งของบางรายการขาดหายไป ส่วนที่ขาดนี่แหละ ถือว่าเป็นสิ่งของที่ถูกอม ทำให้คดีในภาคสองมีการจับกุมแต่เจ้าหน้าที่ระดับเล็กๆ ดูแล้วจิ๊บจ๊อยมาก ส่วนบลูไดมอนด์เพชรเม็ดใหญ่ที่ทางซาอุฯต้องการ ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด สืบหาไม่ได้เหมือนเดิม

    ข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนแรกประการหนึ่งก็คือ หลังจากออกปฏิบัติการตรวจค้นตามจุดต่างๆในต่างจังหวัดแล้ว พอกลับถึง กทม.มารวมทำบันทึกใหม่เพื่อใส่ชื่อผู้บังคับบัญชาลงไปด้วย อยากให้เจ้านายได้หน้า ทำให้ข้อเท็จจริงไม่ตรง และ รายละเอียดบางอย่างขาดหายไป ในขณะนั้นไม่มีใครคิดว่าจะถูกรื้อฟื้นคดี พอมีการรื้อฟื้นขึ้นมา ติดคุกกันเป็นแถว ตำรวจรุ่นใหม่ๆจำเอาไว้เชียว

    ในช่วงที่ทำการสืบสวนการโจรกรรมเพชรซาอุฯภาคสอง ผู้เขียนทำหน้าที่รับ-ส่งตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งต้องโทษตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใกล้จะพ้นโทษ (นายเกรียงไกรฯ ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรฯรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง) ตอนเช้าประมาณ 09.00 น. ผู้เขียนจะไปรับตัวนายเกรียงไกรฯที่เรือนจำอยุธยา แล้วพาตัวไปสอบสวนที่ บชก. ถนนอังรีดูนังส์ กทม. โดยมี จนท.ราชทัณฑ์คุมตัวไปด้วย ผู้เขียนมีโอกาสใกล้ชิดนายเกรียงไกรฯ นั่งติดกันในรถช่วงที่เดินทางประมาณ 4-5 วัน ๆละกว่า 3 ชั่วโมง รายละเอียดต่างๆในความทรงจำของนายเกรียงไกรฯถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ นำมาเล่าสู่กันฟัง ทำให้ทราบเหตุการณ์บางตอนได้ชัดเจน ไม่มีผลทางคดีเพราะคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว

    ลักษณะของนายเกรียงไกร ฯเป็นคนบุคลิกหลุกหลิก ไม่นิ่ง(อยู่ไม่สุข) เหมือนหวาดระแวงตลอดเวลา นัยน์ตาล่อกแล่ก ความรู้สึกไว ตอบสนองทันทีเมื่อมีเสียงเรียก เหมือนคนไม่เคยไว้ใจใคร การพูดจาลักษณะใช้ความคิด คือคิดคำนึงก่อนพูด เชื่อถือไม่ค่อยได้ ที่นิ้วกลางมือซ้ายฝังแม่เหล็กไว้ในนิ้วเพื่อใช้ในการต้มตุ๋นในการเล่นการพนันไฮโล บ่งบอกว่าเขาเป็นอาชญากรตัวยง

    นายเกรียงไกรฯ เดินทางเข้าไปขายแรงงานในประเทศซาอุฯ เช่นเดียวกับผู้ขายแรงงานอื่นๆ เป็นพวก Unskill Labour( แรงงานไร้ฝีมือ) ทำงานอยู่ในบริษัทรับทำความสะอาดแห่งหนึ่งในซาอุฯ ซึ่งในบริษัทดังกล่าวนี้มีคนไทยอยู่ประมาณ 4-5 คน แล้วยังมีคนฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ร่วมทำงานในบริษัทเดียวกัน

    ช่วงเกิดเหตุ บริษัทรับทำความสะอาดที่นายเกรียงไกรฯทำงาน ได้ไปรับจ้างทำความสะอาดวังของกษัตริย์ไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซีส วังดังกล่าวอยู่นอกเมือง เนื้อที่วังประมาณ 10 ไร่เศษ ภายในมีอาคารหลายหลัง เป็นที่ประทับของกษัตริย์ มเหสี มีห้องรับแขก ห้องรับรอง นับได้เป็นร้อยห้อง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงประมาณ 3 เมตรทั้งสี่ด้าน ในช่วงที่บริษัทรับจ้างทำความสะอาดนั้น กษัตริย์ไฟซาล และมเหสี แปรพระราชฐานไปพักร้อนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนประมาณ 15 วัน ในวังดังกล่าวจะมีเพียงแม่บ้านคนดูแลความเรียบร้อยประจำตึก คอยเปิดกุญแจตึกและตู้เก็บของให้คนงานทำความสะอาด และการทำความสะอาดดังกล่าวนี้ คนงานทุกคนจะเดินทางไปทำงานโดยรถปิคอัพของบริษัท ฯ เช้าไปส่ง เย็นรับกลับ มีการเซ็นชื่อเข้าทำงานและเซ็นกลับเพื่อเป็นการเช็คสอบว่า ใครมาทำงานบ้าง ใครไม่มาบ้าง จะได้คิดค่าจ้างแรงงานได้ถูก หัวหน้างานที่ถือสมุดคุมรายชื่อคนทำงานเป็นชาวฟิลิปปินส์
    ตำรวจซาอุฯเรียกบริษัททำความสะอาดมาสอบสวน พนักงานทำความสะอาดทุกคนถูกสอบเครียดอย่างละเอียดหลายวัน การตรวจค้นตัว ค้นที่พักมีการกระทำโดยถี่ถ้วน คนงานทุกคนถูกกักตัวไว้สอบสวน
    คนงานไทยที่ทำงานอยู่กับนายเกรียงไกร ที่ซาอุฯ ถูกเรียกตัวไปสอบสวน มีคนงานไทยคนหนึ่งพักอยู่ด้วยกันกับนายเกรียงไกรฯรู้ทันทีว่านายเกรียงไกรฯต้องเป็นคนร้าย เพราะนายเกรียงไกรฯขนข้าวของกลับไทยก่อนกำหนด ตำรวจซาอุฯสอบสวนคนงานทั้งหมดรวมทั้งตรวจค้นละเอียดไม่ได้หลักฐานจึงปล่อยตัว ทันทีที่ทางการซาอุฯปล่อยตัวคนงานไทยผู้นี้ก็รีบเดินทางกลับประเทศไทย ตรงไปหานายเกรียงไกรฯทันที
    คนงานไทย Black mail
    การ Black mail เกิดขึ้นโดยคนงานไทยดังกล่าวถึงตัวนายเกรียงไกรฯก่อนทางการไทยจะได้ข่าว คนงานดังกล่าวขู่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับตัวนายเกรียงไกรฯส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ของมีค่าที่นายเกรียงไกรฯโจรกรรมมาจึงถูกแบ่งให้นัก Black mail ผู้นี้ไปบางส่วน

    นายเกรียงไกรฯรู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็นเพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่าถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดใหญ่ๆ โตๆเช่นนี้มาก่อน แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้นมีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกรขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปางนำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จ.พิษณุโลกสายตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท
    ดูเพชรไม่เป็น ใช้ของแข็งทุบเป็นการพิสูจน์
    น่าสงสารนายเกรียงไกรฯมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าเพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณี เม็ดไหนทุบไม่แตกก็เชื่อว่าเป็นเพชร เก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท
    หลบหนี ขอตายไม่ยอมถูกจับ
    ของมีค่าถูกลำเลียงมาทุบขายไม่ทันหมด ข่าวเรื่องการติดตามจับกุมมาถึงเมืองไทย ประกอบกับถูกเพื่อนขู่ว่า เมื่อถูกส่งดำเนินคดีที่ซาอุฯต้องถูกแขวนคอแน่ นายเกรียงไกรฯร่ำลาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ขอไปตายดาบหน้า พร้อมหาซื้อไซยาไน้ทติดตัวไปด้วย ระหว่างหนีถ้าจวนตัวเห็นว่าจะถูกจับกุม จะกินไซยาไน้ทฆ่าตัวตายทันที
    เพชรส่วนหนึ่งฝังดิน
    ถึงแม้จะจวนตัว นายเกรียงไกรฯก็ยังเป็นห่วงทรัพย์สิน โดยรวบรวมของมีค่าใส่ถุงพลาสติก แล้วฝังดินโดยไม่ให้ใครรู้ เหตุที่ฝังดินเนื่องจากได้แนวคิดจากหนังสือนิทานอีสป

    สุดยอดเพชรทั้ง 7 ของคู่กษัตริย์
    ในโพสท์ของลิ้งค์นี้มีคนถามหาบลูไดมอนด์ด้วย http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1161013

























    1. The Star of Africa (Cullinan 1) Diamond
    เคยเป็นเพชรเจียระไนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปัจจุบัน Golden Jubilee เป็นเพชรเจียระไนที่ใหญ่ที่สุดในโลก) มีน้ำหนัก 530.20 กะรัต พบที่เหมืองพรีเมียร์ ในแอฟริกาใต้ เมื่อคริสต์ศักราช 1905 ก่อนเจียระไนมีน้ำหนักถึง 3,106 กะรัต พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ ได้รับมอบเพชรนี้เมื่อคริสต์ศักราช 1907 จากนั้น Joseph Asscher & Company ที่อัมสเตอร์ดัม ได้เจียระไนแบ่งออกเป็ฯเพชรเม็ดใหญ่ เพชรเม็ดเล็ก และเพชรขนาด 9.5 กะรัต อีกหลายเม็ด เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดคือ Cullinan 1 ถูกเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำ และนำไปประดับที่พระคทาของกษัตริย์อังกฤษ ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พระคลังเครื่องเพชรของพระราชวงศ์อังกฤษที่หอคอยแห่งกรุงลอนดอน

    2. Koh-I-Noor Diamond
    เพชรโก อิ นัวร์ ซึ่งหนัก 186 กะรัต เป็นเพชรที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาเพชรที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เรื่องราวดั้งเดิมเกี่ยวกับเพชรนี้มาจากหลายแหล่ง ตามตำนานฮินดูโบราณกล่าวว่า พระกฤษณะ (Krishna) เป็นผู้สวมใส่เพชรเม็ดนี้
    บ้างก็ว่าเพชรนี้ถูกพบในแม่น้ำโกทาวรี (Godavari) ในอินเดียตอนกลางเมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว และราชากานาแห่งอังกา (Gana Rajah of Anga) เป็นผู้สวมใส่ แต่ราชาผู้น่าสงสารผู้นี้ก็ตกเป็นเหยื่อรายแรกของเพชรเม็ดนี้ซึ่งมีคำสาปที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ ในขณะที่กำลังขี่ม้าเข้าสู่สนามรบพร้อมกับเพชรเม็ดนี้ ราชาถูกฆ่าในสนามรบ เล่ากันในภายหลังว่า "ผู้ใดครองเพชรเม็ดนี้จักได้ครองโลก หากแต่จักพบพานความโชคร้ายต่าง ๆ ของมันด้วย" จะมีก็แต่พระเจ้าหรือผู้หญิงที่สามารถสวมใส่ได้โดยที่จะไม่ถูกลงโทษ
    อย่างไรก็ตาม บันทึกอ้างอิงฉบับแรก ๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เพชรเม็ดนี้เริ่มต้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 14 ว่า พบเพชรเม็ดนี้ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย บริเวณริมแม่น้ำโกทาวรี ราว ค.ศ. 1304 ชาวนาคนหนึ่งพบวัตถุเป็นมันวาวชิ้นหนึ่งในดินโคลนหลังจากคืนฝนตก เพชรเม็ดนี้ซึ่งสวยงามมากเป็นพิเศษก็ได้กลายเป็นที่รู้จักในอินเดียและถูกนำไปประดับบนมงกุฎของมหาราชาแห่งกอลคอนดา ภายหลังเพชรเม็ดนี้ตกเป็นสมบัติของตระกูลโมกุลผู้ยิ่งใหญ่ และมีค่าโดยประมาณเท่ากับรายได้ใน 1 วันของประชากรทั้งหมดบนโลก
    เพชรโก อิ นัวร์ ตกทอดจากทรราชคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งเคยเป็นของโมฮัมเหม็ด ชาร์ (Mohammed Shah) และตกทอดสู่นาดีร์ ชาห์ (Nadir Shah) ซึ่งได้อุทานออกมาว่า "โก อิ นัวร์" ซึ่งหมายความว่า "ภูเขาแห่งแสงสว่าง" ระหว่างที่เขาได้เห็นเพชรอันวิจิตรงดงามนี้ที่เขาได้แย่งชิงมาจากโมฮัมเหม็ด ชาห์ ใน ค.ศ. 1739 ท้ายสุดแล้วเพชรก็ไปตกอยู่ที่รานจีท สิงห์ (Ranjeet Singh) แห่งปัญจาบใน ค.ศ. 1833
    ใน ค.ศ. 1850 บริษัทอินเดียตะวันออกได้ทูลเกล้าฯ ถวายเพชรโก อิ นัวร์ ที่ลือชื่อแด่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เพชรเม็ดนี้เป็นของขวัญวิเศษชิ้นหนึ่ง ขณะนี้เพชรสามารถประเมินค่าได้เป็นราคา 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงตัดสินพระทัยที่จะให้นักเจียระไนเพชรชื่อวัวร์ซานเจอร์ (Voorzanger) เจียระไนเพชรนี้ใหม่ เขาใช้เวลา 8 วันในการเจียระไนให้เป็นรูปทรงรีหรือรูปไข่ หนัก 108.93 กะรัต และมีความแวววาวเป็นพิเศษ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียได้ทรงประดับเพชรนี้ไว้บนเข็มกลัดและทรงระบุไว้ในพระพินัยกรรมให้เพชรโก อิ นัวร์ แก่ผู้ที่เป็นกษัตริย์และผู้หญิงเท่านั้น
    ปัจจุบันเราสามารถชมเพชรชื่อดังเม็ดนี้ได้ที่ทาวเวอร์ออฟลอนดอน โดยเพชรเม็ดนี้ประดับอยู่บนมัลทีส ครอส (Maltese Cross) ด้านหน้าของมงกุฎซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1937 สำหรับพระราชมารดาสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบท











    3. The Regent Diamond
    จัดเป็นหนึ่งในบรรดาเพชรที่สวยที่สุดในโลก มีน้ำหนัก 140.50 กะรัต เพชรเม็ดนี้มีประวัติและตำนานพิสดารมากมายเช่นเดียวกับเพชรที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย โดยถูกค้นพบที่อินเดีย และได้รับการเรียกขานว่า "The Pitt Diamond" ตามชื่อผู้ว่าราชการของเมืองมัทราสในยุคนั้น คือ Thomas Pitt เขาได้นำเพชรเม็ดนี้ไปเจียระไนใหม่ที่อังกฤษ ในคริสต์ศักราช 1717 ต่อมา Thomas Pitt ได้ขายเพชรเม็ดนี้ให้กับฟิลิปส์ ดยุค แห่งออร์ลีน และรีเจนท์แห่งฝรั่งเศส เพชรเม็ดนี้จึงได้ชื่อใหม่ว่า "The Regent" และก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในพระคลังสมบัติของฝรั่งเศสช่วงยุคแห่งการปฎิวัติ และยุคสมัยนโปเลียน "The Regent" ได้ถูกภัยคุกคามอีกหลายครั้ง จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 1887 จึงได้รับยกเว้นจากการขายทอดตลาดของพระคลังสมบัติ และได้ถูกนำออกแสดงแก่สาธารณชนที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ จนกระทั่งทุกวันนี้

    4. The Orloff Diamond
    จัดเป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดเม็ดหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นเพชรที่มีความสำคัญมากในกองทุนเพชรของมอสโคว์ มีน้ำหนักรวม 189.62 กะรัต ปัจจุบันเพชรเม็ดนี้ประดับอยู่บนคธาของกษัตริย์รัสเซีย ซึ่งตั้งแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์เครมลิน ในกรุงมอสโคว์ ลักษณะของเพชร Orloff ดูคล้ายคลึงกับคำบรรยายลักษณะของเพชร "เกรทโมกุล" จึงเป็นไปได้ว่า เพชรทั้งสองนี้อาจเป็นเพชรเม็ดเดียวกัน ซึ่งต่อมาถูกนำไปเจียระไนใหม่ ตามประวัติ เพชรเม็ดนี้เคยถูกนำไปประดับที่ตาข้างหนึ่งของเทวรูปฮินดู ก่อนที่จะถูกทหารฝรั่งเศสผู้หนึ่งขโมยออกมาจากโบสถ์กลางศตวรรษที่ 18 และได้ตกมาถึงมือของพ่อค้าชาวเปอร์เซีย ซึ่งได้นำไปขายต่อในราคาที่แพงมหาศาลให้กับ Gregory Orloff อดีตชู้รักของจักรพรรดินีแคทเธอรีนแห่งรัสเซีย Orloff ได้ถวายเพชรเม็ดนี้แด่จักรพรรดินีแคทเธอรีน ด้วยหวังว่าจะได้รับความรักความชอบกลับคืนมา แต่พระองค์ปฏิเสธที่จะคืนดีด้วย และไม่เคยสวมเพชรเม็ดนี้เลย อย่างไรก็ตาม พระองค์ได้นำเพชรเม็ดนี้ไปประดับที่คธา ซึ่งยังคงสภาพเดิมอยู่จนถึงทุกวันนี้

    5. Golden Jubilee Diamond
    เป็นเพชรเจียระไนเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก เดิมเป็นที่รู้จักกันในนาม "Unnamed Brown" ต่อมาได้ชื่อใหม่ว่า "Golden Jubilee (เพชรกาญจนาภิเษก)" ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อพุทธศักราช 2539 เพชรเม็ดนี้ได้ถูกนำมาแสดงในงาน บี.โอ.ไอ. แฟร์ ที่แหลมฉบัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว Golden Jubilee มีน้ำหนัก 545 กะรัต เพชรเม็ดนี้ได้รับการระบุลักษณะว่าเป็นเพชรสีแฟนซี สีน้ำตาลเหลืองตามธรรมชาติโดยห้องวิเคราะห์ปฏิบัติการของ GIA ผลึกเพชรก่อนการเจียระไนมีน้ำหนัก 755.50 กะรัต ขุดพบที่เหมืองพรีเมียร์ ในแอฟริกาใต้ เมื่อคริสต์ศักราช 1986 การเจียระไนเพชรเม็ดนี้ใช้เวลาประมาณ 3 ปี โดยช่างเจียระไนเพชรที่มีชื่อเสียงชื่อ นายโชล เคาสกี้ หลังการเจียระไนแล้ว เพชรเม็ดนี้มีจำนวนเหลี่ยมทั้งหมด 158 เหลี่ยม แบ่งด้านบนคราวน์ 55 เหลี่ยม ด้านล่างพาวิลเลียน 69 เหลี่ยม และของเกอเดิลอีก 24 เหลี่ยม นายโชล เคาสกี้ เรียกรูปร่างของเพชรเม็ดนี้ว่า "Fire-Rose Cusion-Shape" นับเป็นเพชรเจียระไนเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีการเจียระไนโดยเสียนเนื้อเพชรน้อยมาก คือ เสียไปไม่ถึง 28 เปอร์เซนของน้ำหนักก้อนเดิม

    6. The Centenary Diamond
    เป็นเพชรเจียระไนแบบใหม่ (Modern Cut) เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ขุดพบได้โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอ็กซเรย์ ที่เหมืองพรีเมียร์ ในแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 1986 เพชรเม็ดนี้มีน้ำหนักก่อนการเจียระไนถึง 599 กะรัต เป็นเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาซึ่งมีสีขาวสมบูรณ์แบบและไร้ตำหนิภายใน เพชรเม็ดได้ชื่อว่า The Centenary ในวันเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี เดอ เบียร์ส เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1988 ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นใกล้เหมืองคิมเบอร์ลี่
    นายโชล เคาสกี้ เป็นผู้เจียระไนเพชรเม็ดนี้ และได้ทำการเจียระไนเสร็จเมื่อต้นคริสต์ศักราช 1991 หลังจากเจียระไนเสร็จแล้ว เพชรเม็ดนี้มีน้ำหนัก 273.85 กะรัต และมี 247 เหลี่ยม คือ 164 เหลี่ยมบนตัวเพชร และ 83 เหลี่ยมบนเกอเดิล เท่าที่ผ่านมายังไม่เคยมีการเจียระไนเพชรที่ได้เหลี่ยมมากมายเช่นนี้มาก่อนบนเพชรเม็ดเดียว ในหมู่เพชรน้ำงามที่สุดในโลกแล้ว The Centenary จะเป็นรองจาก The First Star of Africa และ The Second Star of Africa ซึ่งเจียระไนจากเพชร Cullinan เท่านั้น นับได้ว่าเพชร The Centenary เป็นเพชรเจียระไนสมัยใหม่เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเพชรเม็ดเดียวที่รวมเอาวิธีเจียระไนแบบเก่าเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ซับซ้อน เป็นตัวอย่างของ "เพชรน้ำงามไฟดี" ที่ปรากฎสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม คริสต์ศักราช 1991 เพชรเม็ดนี้มีราคาประกันมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ












    7. Hope Diamond
    เพชร นอกจากจะสวยงาม เป็นสิ่งล้ำค่าหายากแล้ว ยังผูกพันธ์อยู่กับความเชื่อมากมาย เพชร "โฮป" เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน
    ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย เพชรหนัก 112 กะรัต เม็ดนี้ ถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม
    ชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย (Jean-Baptist Tavernier) พ่อค้าเพชรชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซื้อเพชรนี้มาและลักลอบนำเข้าไปยังกรุงปารีสใน ค.ศ. 1668 ต่อมาใน ค.ศ. 1669 ตาแวร์นีเยขายเพชรให้แก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้วยราคา 3,000,000 ปอนด์ เพชรโฮปนี้ได้รับการเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) และเป็นที่รู้จักในนาม "เพชรตาแวร์นีเยสีฟ้า" (The Tavernier Blue) เพชรสีน้ำเงินฝรั่งเศส (The French blue) หรือเพชรสีน้ำเงินแห่งมงกุฎ (The Blue Diamond of the Crown)
    พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมอบเพชรให้แก่มาดาม เดอ มงเตสปอง (Madam de Montespan) แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็กลายเป็นที่เกลียดชังของราชสำนัก เพชรฝรั่งเศสสีน้ำเงินนี้ ได้หายไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 หลังจากการปล้นเพชรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คลังเก็บสมบัติแห่งชาติ (The National Garde Meuble) ใน ค.ศ. 1812
    บันทึกความทรงจำของจอห์น ฟรานซิลลอน (john Francillon) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอนเขียนไว้ว่า เพชรสีน้ำเงินหนัก 45-52 กะรัตได้ปรากฏขึ้นใน ค.ศ. 1830 ที่อังกฤษ โดย เดเนียล แอเลียสัน (Denial Eligson) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอน เขาเปลี่ยนรูปแบบการเจียระไนเป็นรูปหมอนและขายให้แก่เฮนรี ทอมัส โฮป (Henty Thomus Hope) นักการธนาคารชาวอังกฤษ ดังนั้นเพชรสีน้ำเงินจึงได้ชื่อใหม่ตามชื่อของเขาคือ เพชร "โฮป"
    ลอร์ดฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮป (Lord Francis Pelham Clinton Hope) ซึ่งได้เป็นเจ้าของเพชรของพ่อของเขา ท้ายที่สุดแล้วกลับล้มละลายและเพชรก็ได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาปีแยร์ การ์ตีเย (Pierre Cartier) พ่อค้าเพชรชาวปารีส ได้ขายเพชรโฮปผ่านทางสุลต่านอับดุล-ฮามิด (Abdul - Hamid) ให้กับวิลเลียม แมกลีน (William Mclean) คนสำคัญในวงการหนังสือพิมพ์ และเพชรเม็ดนี้ก็ถูกนำไปที่สหรัฐอเมริกา แมกลีน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซื้อเพชรมาด้วยราคา 154,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภรรยาของแมกลีนต้องการให้พระทำพิธีขับไล่ผีในเพชรก่อน พิธีนี้จึงได้มีขึ้นและเธอก็ป่าวประกาศว่ามี "ฟ้าผ่าและฟ้าแลบในระหว่างพิธี" ด้วย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยสวมใส่เพชรเม็ดนี้
    โชคร้ายที่ดูเหมือนคำสาปในเพชรยังคงมีอยู่ ใน ค.ศ. 1918 ลูกชายของแมกลีนอายุ 9 ขวบ หลุดรอดจากการดูแลของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกรถคันหนึ่งชนเสียชีวิต แมกลีนจึงดื่มเหล้าและหลังจากนั้นไม่กี่เดือนลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็ปลิดชีพตัวเองโดยใช้ยานอนหลับ
    ใน ค.ศ. 1949 หลังจากที่ภรรยาของแมกลีนเสียชีวิตแล้ว แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮปไปด้วยราคา 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปเพิ่มชุดสะสมส่วนตัวของเขา
    ใน ค.ศ. 1958 เอดนา วินสตัน (Edna Winston) ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้แก่สถาบันสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ที่จัดแสดงเพชรในปัจจุบัน และมีผู้มาเยี่ยมชมหลายพันซึ่งหลงไหลในเพชรสีน้ำเงินไพลินและความแวววาวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่มีตำนานที่น่าสนใจ


    ข้อมูลจาก:กระทรวงการต่างประเทศ

    http://www.fisho.com/other/view.php?cat=other&id=936

    10 อันดับเพชรค่า ใหญ่จริง ๆ (ภูมิใจประเทศไทย มีคนถามหาบลูไดมอนด์อีกแล้ว) http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1864027


    เวลากว่า 19 ปีแล้วที่ "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" ยังไม่ตายไปจากโลกนี้ง่ายๆ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ หนึ่งใน "ตัวละครเอก" ของตำนานเพชรซาอุฯ ก็ยังสลัดอิทธิฤทธิ์ของเพชรแห่งราชวงศ์ไฟซาลไม่พ้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษา "ประหารชีวิต" ในคดี "อุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์" หลังจากศาลชั้นต้นเคยพิพากษา "จำคุกตลอดชีวิต" ไปเมื่อหลายปีก่อน

    คำพิพากษาประหารชีวิตเล่นเอาอดีตมือปราบพระกาฬเจ้าของฉายา "สิงเหนือ" ถึงกับคอตกอีกคำรบ และต้องกลับบางขวางเพื่อลุ้นผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาอีกครั้ง !!!

    ชะตากรรมของ พล.ต.ท.ชลอ เป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งว่า อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด เพราะใครก็ตามที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้อง "มีอันเป็นไป" เกือบทุกราย

    เริ่มจาก นายเกรียงไกร เตชะโม่ง หนุ่มเมืองรถม้า จ.ลำปาง ซึ่งเดินทางไปทำมาหากินเพื่อหวังขุดทองในผืนทะเลทรายแห่งตะวันออกกลาง แต่ลึกๆ เขาก็ไม่ได้คิดจะไปร่ำรวยจากค่าแรงเหมือนคนงานคนอื่นเท่าใดนัก แต่คาดหวังจากการเสี่ยงดวง "เล่นไฮโล" เสียมากกว่า เพราะนิ้วมือของเขานั้น "ฝังแม่เหล็ก" ไว้ทั้งสองข้าง และเมื่อผ่านเครื่องเอกซเรย์โลหะก็จะมีสัญญาณเตือนดังขึ้นทุกครั้ง

    ทว่า โชคชะตากลับชักพาไปไกลกว่านั้น เมื่อเขาถูกทาบทามให้เข้าไปทำงานในพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และนั่นคือปฐมบทแห่ง "มหากาพย์เพชรซาอุฯ"...

    วันนั้น...ในพระราชวังอันโอ่อ่า แต่น่าแปลกที่ข้าราชบริพารต่างเร้นกายหายหน้าไปเกือบหมด นายเกรียงไกรจึงฉวยโอกาสอันล้ำค่าสำรวจดูทรัพย์สินภายใน และต้องตกตะลึงกับเครื่องเพชรนิลจินดา ซึ่งประเมินได้คร่าวๆ ว่าคงขายได้หลายตังค์อยู่ แต่เขาคงนึกไม่ถึงว่าจะมีค่ามหาศาลเพียงใด จึงวางแผนฉกเพชรมาได้ถึง 2 ครั้ง และผ่านด่านศุลกากรของทั้งสองประเทศมาได้อย่างง่ายดาย
    ไม่นานทางการซาอุฯ ก็รู้ว่า เครื่องเพชรอันประเมินค่ามิได้ถูกหนุ่มคนงานไทยโจรกรรมออกมา จึงประสานมายังรัฐบาลไทยให้ติดตามเพชรประจำราชวงศ์ส่งคืนโดยเร่งด่วน

    พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อธิบดีกรมตำรวจ (ในขณะนั้น) จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ผู้เคยรับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่ทางการซาอุฯ

    จากนั้น "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ เมื่อนายเกรียงไกร ถูกชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ชลอ จับกุม และนำมารีดจนยอมคายเพชรออกมา แถมยังบอกด้วยว่ามีใครรับซื้อไปบ้าง เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ซึ่งมีโทษเพียงสถานเดียว คือ "แขวนคอ"

    การจับกุมนายเกรียงไกร ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ เริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง โดยมือปราบอย่าง พล.ต.ท.ชลอ ได้รับการยกย่องจากทางการซาอุฯ ให้เป็นแขกพิเศษ แถมยังถูกยกให้เป็น "ชี้ค" อีกด้วย
    หลังจากนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (ในสมัยนั้น) ได้เดินทางไปเยือนซาอุฯ อย่างเป็นทางการ แต่กลับต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเมื่อถูกฝ่ายซาอุฯ ตอกกลับเอาเจ็บๆ ว่า

    "คุณเอาเพชรปลอมมาคืน แถมชุดที่เหลือยังหายไปอีกมาก แบบนี้แล้วเราจะสานความสัมพันธ์กันได้อย่างไร"

    ประโยคอมตะดังกล่าวเล่นเอา "วงแตก" จนฝ่ายไทยต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาหาเพชรกันอย่างพลิกแผ่นดิน โดยสั่งให้เริ่ม "ย้อนรอย" ตั้งแต่ชุดทำงานของ พล.ต.ท.ชลอ เพื่อติดตามว่าเพชรไปอยู่ในมือใคร โดยมุ่งเน้นไปที่เส้นทางการซื้อขายเพชรเพื่อตรวจสอบดูว่า เพชรน่าจะอยู่ในมือใครบ้าง

    การย้อนรอยครั้งนี้เองที่ทำให้ พล.ต.ท.ชลอ เริ่มเจออิทธิฤทธิ์ระลอกแรกของเพชรซาอุฯ!

    กลุ่มบุคคลที่ "ถูกจับตา" เป็นรายต่อมา คือญาติๆ ของ พล.ต.อ.แสวง แต่ภายหลังเมื่อมีการตรวจสอบก็ไม่พบว่ามีมูลความจริงแต่อย่างใด
    นอกจากนี้ นักการเมือง ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย และ "คนมีสี" หลายคนก็ถูกกล่าวหาว่ามีการจัด "ปาร์ตี้เพชรซาอุฯ" ในสโมสรแห่งหนึ่ง กระทั่งพลอยถูกหางเลขไปด้วย

    ระหว่างนั้น นายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ก็ลงมือว่าจ้าง "ชุดสืบสวนพิเศษ" เพื่อแกะรอยอย่างลับๆ ว่า เพชรซาอุฯ อยู่ในมือใครบ้าง
    สำหรับเพชรชุดที่ทางการซาอุฯ ต้องการมากที่สุด คือ "บลูไดมอนด์" ซึ่งนายเกรียงไกรสารภาพกับนายโคจาว่าได้โจรกรรมมาจริง แต่จำไม่ได้แน่ชัดว่าอยู่ในมือใครระหว่างพ่อค้าเพชรกับชุดจับกุม
    สาเหตุที่เพชรล้ำค่าชุดนี้ทางเชื้อพระวงศ์ของซาอุฯ ต้องการได้คืนมากที่สุด เนื่องจากเป็น "เพชรอาถรรพณ์" แม้กระทั่งช่างที่เจียระไนก็ต้องมีอันเป็นไปสาบสูญไปจากโลก จึงเป็นเพียงเพชรชุดเดียวที่มีอยู่ในโลก และไม่ว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร กษัตริย์ซาอุฯ ก็จะจำได้เสมอ เพราะมีการทำตำหนิไว้ด้วย "แสงอินฟราเรด" อยู่ภายในใจกลางของเม็ด แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบ!?

    ระหว่างที่ตามหาเพชรบลูไดมอนด์กันอยู่นั้น ก็เกิดเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุฯ ต้องเลวร้ายลงอีกครั้ง เมื่อเกิดคดี "ฆ่าเจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯ" และยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้จนบัดนี้ !?!?

    สองคดีบันลือโลกนี้เองที่ทำให้ฝ่ายไทยกระอักกระอ่วนใจมาตลอด เพราะเมื่อใดก็ตามที่นายโคจามีโอกาสได้พบกับตัวแทนระดับสูงฝ่ายไทยก็มักจะทวงถามอยู่เนืองๆ ว่า

    "ช่วยตามเพชรบลูไดมอนด์กับคนร้ายที่ฆ่าคนของซาอุฯ ให้หน่อย"

    ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุฯ ก็เริ่มเกิดแสงสว่างรำไรขึ้น เมื่อนายเกรียงไกรกล่าวพาดพิงถึงพ่อค้าเพชรย่านสะพานเหล็ก ชื่อ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ โดยซัดทอดว่า นายสันติได้ซื้อเพชรไปจากนายเกรียงไกรเป็นจำนวนมาก รวมหลายครั้งด้วยกัน
    นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีสะเทือนขวัญ "อุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์" กระทั่งล่วงมาสู่ยุคที่มีอธิบดีกรมตำรวจชื่อ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ จึงเริ่มมีการติดตามเพชรซาอุฯ อีกครั้ง โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ชลอ และ พล.ต.ท.โสภณ สวิคามิน รับไปดำเนินการ

    การรื้อคดีครั้งนี้จึงนำมาสู่การ "อุ้ม" ภรรยา และลูกของนายสันติ คือ นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ เพื่อนำตัวไปรีดข้อมูล โดยนำตัวไปกักไว้ที่รีสอร์ทใน จ.สระแก้ว นานนับเดือน และหวังว่านายสันติ จะนำเพชรบลูไดมอนด์มาคืน เพราะเชื่อว่านายสันติครอบครองอยู่

    แต่นานวันเข้า นายสันติก็ไม่สามารถนำมาคืนได้ เนื่องจากได้นำไปให้คนอื่นแล้ว หลังจากนำไปแปลงสภาพให้พ่อค้าเพชรย่านเจริญนคร ก่อนจะนำไปให้ "บุคคลสำคัญ" คนหนึ่ง

    การคุมขังสองแม่ลูกนานเกินไป ประกอบกับสองแม่ลูกจำหน้าทีมอุ้มได้ ทีมอุ้มเริ่มกลัว "ความลับรั่วไหล" จึงได้วางแผน "ฆาตกรรมอำพราง" โดยลงมือกระหน่ำตีจนเสียชีวิต ก่อนจะยัดร่างใส่รถเบนซ์ที่จอดอยู่กลางถนนเพื่อ "จัดฉาก" ให้รถบรรทุกพุ่งชนบริเวณ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
    ผลการชันสูตรเบื้องต้น โดย พล.ต.ต.ทัศนะ สุวรรณจูฑะ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวช (ในขณะนั้น) พิสูจน์ออกมาว่า "เป็นอุบัติเหตุ" แต่ น.พ.พล หิรัญศิริ พี่ชายของนางดาราวดี ออกมาคัดค้าน

    ภายหลังจึงเกิด "ความแตก" เมื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รอง อ.ตร.และ พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผบก.ป. (ในขณะนั้น) เข้าคลี่คลายคดีจึงรู้ว่าสาเหตุการตายเกิดจากการ "ฆาตกรรม"

    อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ รอบนี้เล่นเอา พล.ต.ต.ทัศนะ ต้อง "ลาออกจากตำแหน่ง" ในเวลาต่อมา!

    จากนั้น พล.ต.ท.ชลอ พร้อม "ทีมอุ้ม" ตำรวจ-พลเรือนรวม 9 ราย รวมทั้ง พล.ต.ท.โสภณ จึงถูกสั่งจำคุก โชคดีที่หลักฐานต่างๆ สาวไปไม่ถึง พล.ต.ท.โสภณ จึงรอดพ้นคุกตะรางไปได้ แต่ พล.ต.ท.ชลอ ยังถูกจองจำจนถึงทุกวันนี้ ส่วนทีมอุ้มหลายคนก็เสียชีวิตไปในระหว่างดำเนินคดี!


    ถึงวันนี้ผ่านการพิจารณาคดีมาถึง 2 ศาลแล้ว แต่ยังไม่มีใครรู้ได้ว่า ท้ายที่สุดชะตากรรมของ พล.ต.ท.ชลอ จะลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ชีวิตในวันนี้ของเขาย่อมไม่มีความสุขเหมือนในครั้งอดีตอย่างแน่นอน และคดีนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" นั้นทรงอิทธิฤทธิ์สมคำร่ำลือเพียงใด

    นายเกรียงไกรไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าวก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็ยังมีกุญแจเสียบคาทิ้งไว้ ไม่มีการล๊อค


    ดูเพชรไม่เป็น ใช้ของแข็งทุบเป็นการพิสูจน์
    น่าสงสารนายเกรียงไกรมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าเพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณี เม็ดไหนทุบไม่แตกก็เชื่อว่าเป็นเพชร เก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท


    ตอนที่ตำรวจติดตามเอาสิ่งของที่ถูกโจรกรรมกลับคืนจากแหล่งรับซื้อ มีร้านรับซื้อบางรายรู้ว่าสิ่งของที่ตนรับชื้อไว้เป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอาไปคืนเจ้าหน้าที่ เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วน แกะของจริงเอาไปขาย หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ ก็หาของปลอมยัดไส้เข้าไป ก็อาจจะเป็นได้ ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร


    นายเกรียงไกรรู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็น เพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่า ถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดใหญ่ๆ โตๆเช่นนี้มาก่อน แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้นมีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกรขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปางนำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จ.พิษณุโลกตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท


    นายเกรียงไกร ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง ขณะนั้ได้หมดโทษแล้ว


    ปลายปี 2531 มี จนท.กงศุลของซาอุฯถูกลอบสังหารที่พัทยาในขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์พัทยาใต้ ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายควบมอเตอร์ไซด์มีชายมือปืนนั่งซ้อนท้าย แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถมอเตอร์ไชด์ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถโดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือปล่อยลูกกระสุน 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายคือ จนท.กงศุล ถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย.ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรออยู่ แล้วคนร้ายที่เป็นผู้ลั่นกระสุนก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.แผดดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืดก่อนที่จะสิ้นเสียงเครื่องยนต์ด้วยช้ำ



    เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอแล๊ะ เลขานุการโทประเทศซาอุฯประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือ“บังมุด” จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลยกฟ้อง หลังจากคดี“บังมุด”แล้วยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย จนท.สถานทูตซาอุฯถูกยิงเสียชีวิต 3 ศพ และยังมีนักธุรกิจของประเทศซาอุฯถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน ในขณะที่คดีเรื่องฆ่าการสืบสวนหาตัวคนร้ายยังไม่คลี่คลาย คดีโจรกรรมเพชรซาอุฯก็เกิดขึ้น


    นายสันติเป็นพ่อค้าเพชรซึ่งรับซื้อเพชรที่ถูกโจรกรรมมาจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ผลพวงจากการับซื้อของโจร ทำให้เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถูกข่มขู่ คุกคาม ถูกรีดไถ ที่น่าเศร้าก็คือ ในท้ายที่สุด เมียและลูกของเขาก็ถูกอุ้มไปฆ่าและเผาอำพรางคดี
    แต่เรื่องแดงขึ้นมาเมื่อกรมตำรวจส่งพล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นนำกำลังตำรวจกองปราบลงมาสะสางความจริงหลังได้รับการร้องเรียนจากญาติของนายสันติ ในที่สุด จึงพบว่า มีนายตำรวจ”ระดับบิ๊ก”เข้าไปพัวพันกับขบวนการอุ้มโหดนี้ด้วย คดีเพชรซาอุฯทำให้สังคมตระหนักถึงความเป็นองค์กรซ่อนเงื่อนของตำรวจ ในเวลาเดียวกัน


    ข่าวลือต่างๆเช่น
    เพชรได้ถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วนำไปเจียรไนใหม่ไปแล้ว
    เพชรได้ถูกขายไปแล้ว ในประเทศเพื่อนบ้าน
    ยังเป็นเพชรเม็ดใหญ่ อยู่ที่ไหนซักที่หนึ่งในประเทศไทย
    เพชรบูลไดมอนด์ถูกนำไปประมูลขายในตลาดมืดที่ New York ราชวงค์ซาอุ ไปเจอเข้าและประมูลกลับมาแล้ว และยังรู้อีกว่าใครเป็นผู้ปล่อยประมูลไป
    ทุกอย่าง ยังรอการคลี่คลาย
    ดูข้อมูลละเอียดที่
    http://atcloud.com/stories/21685
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=offway&month=14-03-2008&group=13&gblog=9


    การทำตำหนิเพชรไว้ด้วยแสงอินฟราเรด http://www.google.co.th/#q=%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3+%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%94&hl=th&rlz=1R2ADFA_enTH454&prmd=imvns&psj=1&ei=88ZOT9LfMJDPrQfCyc2zDw&start=30&sa=N&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_qf.,cf.osb&fp=89658879414ea790&biw=1366&bih=644

    สถาบันอัญมณีศาสตร์ AIGS คำอธิบายศัพท์ http://www.aigsthailand.com/(A(lLVel_l_zAEkAAAAZTM0NGRkYmMtYjZhOC00NGNjLTllZDUtNWNmNGQ1YTY2YjllunxDJnr1ZHWRTe1FQEfisCMg89I1))/th/GlossaryTH.aspx?AspxAutoDetectCookieSupport=1

    ซาอุมีการใช้ดาวเทียมรุ่นใกล้เคียงกันกับดาวเทียมไทยคม แล้วมีอาการเสียเหมือนกัน คือเซลพลังงานรั่ว และมีแผ่นดินไหวในพื้นที่ประเทศใกล้เคียงซาอุเช่นเดียวกับไทย ซึ่งคาดว่า เซลพลังงานที่รั่วอาจถูกใช้เป็นจานพลาสม่าสะท้อนคลื่น
    และมีศักยภาพทางช่องทางการนำแบตดาวเทียมนอกสต็อคที่มีอายุยาวนานไปใช้ในวงจรรับสัญญาณจุดระเบิดได้


    สมาคมผู้ค้าทองควรกระจายไปตั้งกองทุนในละตินอเมริกา หรือ แอฟริกาใต้ ลดความเสี่ยง ไม่ให้ไทยถูกปล้น บราซิลมีความเสี่ยงภัยพิบัติอยู่บ้าง แต่เป็นประเทศที่ใหญ่ มีความมั่นคงสูง เพียงแต่ต้องตั้งร้านในโรงพักเท่านั้น จึงจะปลอดภัยมากหน่อย และควรเปิดเป็นธนาคารในโรงพักด้วย

    พระมหากษัตริย์ ราชวงศ์จักรี ที่มีพระราชมารดา เป็นเชื้อสายมุสลิมฝั่งธนฯ ?มีสองพระองค์ ได้แก่

    รัชกาลที่ ๓ เนื่องจาก เจ้าจอมมารดาเรียม หรือสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนี
    ทรงเป็นหลาน ของพระยาราชบังสัน (หวัง) ซึ่งเป็นเชื้อสายของ สุลต่านสุลัยมาน มุสลิมซุนนี

    อีกพระองค์หนึ่งคือ รัชกาลที่ ๕ เพราะ สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชชนนี ทรงเป็นพี่น้อง กับคุณหญิงกลิ่นมารดาของ พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน) ซึ่งเป็นมุสลิมชีอะฮ์
    มุสลิมแห่งสยามประเทศ   http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=040c5b99d45363d8&pli=1
    คำว่า ชี ในศาสนาพุทธ หมายถึงผู้ถือศีลที่เป็นหญิง ตรงกับคำว่า sHe ในภาษาอังกฤษ

    ปรกติ บรรดากษัตริย์ ในแถบ อาหรับ เปอร์เซีย มักจะเป็นเครือญาติกัน ซึ่งจากชื่อ จะบ่งบอกได้ถึงสายสกุล ที่มีสิทธิ์ในการรับมรดกตกทอด บางครั้งก็รบกัน เพราะการแยกนิกาย ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้ระบุว่าเดิมที คริตส์และมุสลิม เป็นพี่น้องกัน มีจุดบันทึกเกี่ยวกับเยรูซาเล็ม ได้มีการแยก ดาวิด เป็นคริตส์ และ โซโลมอน(สุลัยมาน) เป็นมุสลิม และยังใช้คำสรรเสริญพระเจ้า คำว่า ฮาเลลูยา ร่วมกันอยู่ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน การตรวจดีเอ็นเอ  สามารถตรวจสอบความเป็นญาติใกล้ชิดของมนุษย์จาก DNA ได้ ไม่ต่ำกว่า 98%
    500 ปีหลังพุทธกาล ใกล้เคียงกับช่วงการกำเหนิด พระเยซูคริตส์ จักรพรรดิ์โรมันที่ยกทัพมาตีอินเดีย ได้ศึกษาธรรมะ และให้ช่างศิลป์ชาวกรีก สร้างพระพุทธรูปขึ้น ซึ่งในคำสอนของทั้งคริตส์และอิสลามได้ปฏิเสธการนับถือรูปเคารพ เช่นเดียวกับการที่พระพุทธรูปศิลปะกรีก ไม่มีในพระไตรปิฎก

    ซึ่งโครงหน้า ของสิทธัตถะ นั้น คล้ายกับผุ้หญิงสองเพศที่มีลูกคนนึงในพม่า ที่พระสังฆราชพม่ารู้จักเธอดี เธอมีหน้าตาคล้ายกับ โมนาลิซ่า ซึ่ง กรณี พระแม่มาเรีย คล้ายคลึงกับ การกำเหนิดหนุมาน ในรามายณะ หรือ ถ้าได้มีการตรวจดีเอ็นเอ ก็อาจจะทราบได้ว่า คล้าย แม็กดาเลนหรือไม่

    สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระนามเดิม ทองดี เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ประสูติที่บ้านสะแกกรัง เมืองอุทัยธานี ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงเป็นบุตรคนโตของพระยาราชนิกูล (ทองคำ) ปลัดทูลฉลองกรมหาดไทย (บ้างก็ว่า กรมนา) ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีพระคลังในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นออกพระวิสุทธสุนทร และได้เดินทางไปถวายพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อ พ.ศ. 2228
    สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ทรงรับราชการในกรมมหาดไทย รับบรรดาศักดิ์เป็นที่ หลวงพินิจอักษร และ พระอักษรสุนทรศาสตร์ ในตำแหน่งเสมียนตรากรมมหาดไทย มีหน้าที่ร่างพระราชสาส์นโต้ตอบกับหัวเมืองฝ่ายเหนือ และเก็บรักษาพระราชลัญจกร
    สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ทรงเสกสมรสกับสองพี่น้อง บุตรีของคหบดีชาวจีน คนพี่ชื่อว่า ดาวเรือง [1] (หรือ หยก) ส่วนคนน้อง "ไม่ทราบนาม" ตั้งบ้านเรือนอยู่ภายในกำแพงพระนคร ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณ "ป้อมเพชร"  ซึ่งเป็นย่านอาศัยของชาวจีน

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%81

    ทางสายธาตุ

    29-10-2009, 12:03 PM

    สายพระโลหิต

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช(หรือสมเด็จพระเอกาทศรถ?) -> สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง -> สมเด็จพระนารายณ์มหาราช -> สมเด็จพระเจ้าเสือ ->สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ->สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ตามที่หลวงพ่อจรัญเล่าโปรดญาติโยม)

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช(หรือสมเด็จพระเอกาทศรถ?) -> เจ้าแม่วัดดุสิต -> เจ้าพระยาโกษาปาน -> เจ้าพระยาวรวงษาธิราช(ขุนทอง) -> พระยาราชนิกูล(ทองคำ) ->สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก(ทอง) -> พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(ทองด้วง)


    ยังหาหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ได้ว่า แม่อิน มีลูก 2 คนเพียงแต่อ่านจากสัญญลักษณ์สีและลายดอกไม้ของเสาโบสถ์วัดชุมพล แต่ลูกแม่อินเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแน่นอน ใครคือพระราชบิดา

    พระปรางค์น้อยเจ้าแม่วัดดุสิตอยู่ที่วัดไชยวัฒนาราม ที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองสร้างถวายพระราชมารดา แม่อิน ปรางค์น้อยนี้ใครมาสร้างเพิ่มเติมภายหลังหรือ ? สร้างเพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์หรือไม่ ? เจ้าแม่วัดดุสิตมีพระฐานะเป็นอะไรกับพระเจ้าปราสาทอง ?

    วัดไชยวัฒนารามเป็นวัดที่ดำรงไว้ในความทรงจำของคนโบราณสมัยอยุธยาว่า เจดีย์ของพระอัครมเหสีจริงหรือไม่ ? หากจริง แม่อิน คือใครกันแน่?

    ถ้าเชื่อแผนที่ฝรั่ง วัดไชยวัฒนารามคือเจดีย์ขององค์อัครมเหสี ดังนั้น แม่อิน เคยดำรงพระฐานะที่องค์อัครมเหสีหรือ? เป็นองค์อัครมเหสีของพระองค์ใด ?

    สมเด็จพระเอกาทศรถมีพระอัครมเหสีชื่อ พระสวัสดี มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ กับ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์

    ดังนั้นมีโอกาศสูงยิ่งว่า แม่อิน คือพระอัครมเหสีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ชื่อ พระนางมณีรัตนา ตามคำให้การขุนหลวงหาวัด แต่ที่มีสุวัฒน์นำหน้านั้นคงเพื่อให้เป็นมงคลนาม เหมือนชื่อของเจ้าแม่วัดดุสิต พระยศคือ ท้าวสมศักดิ์วงษามหาธาตี

    จากบทความที่เคยคาดกันว่า เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นพระธิดาของพระองค์ใด ระหว่าง

    1 สมเด็จพระมหาธรรมราชา
    2 สมเด็จพระเอกาทศรถ
    3 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    อ้างอิงเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตที่เคยกล่าวถึงมาก่อนหน้านี้แล้วค่ะ http://board.palungjit.com/f179/ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช-184672-16.html#post2315620

    เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงตรงนี้หลักฐานก็มีเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง ทางสายธาตุได้หลักฐานไปพร้อมๆกับเขียนกระทู้ไป เพราะตั้งแต่เรื่องพระมาลาทองคำเป็นต้นมาที่เริ่มเล่าในกระทู้นี้ เป็นการเจอพร้อมๆกันไปกับการเขียนกระทู้

    ตอนไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์วรรณกรรม (กลัวคนเอาพล็อตเรื่องไปเขียนนิยาย) ยังไปจดภายใต้ชื่อ เจ้าขรัวมเหสีจันทร์ในความทรงจำของข้าพเจ้า ตอนนั้นยังไม่เจอหลักฐานมากเท่านี้เลยค่ะ ตอนนั้นยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพระองค์ท่านจะเป็นองค์เอกอัครมเหสีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหรือไม่ แต่ตอนนี้หลักฐานเริ่มมีขึ้นมาจึงเขียนต่อมาได้เรื่อยๆจนบัดนี้นะคะ

    ตอนนี้น้ำหนักของหลักฐานจึงมีมากที่จะกล่าวว่า เจ้าแม่วัดดุสิต ทรงเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเกิดจากองค์อัครมเหสี พระนางสุวัฒน์มณีรัตนา
    http://board.palungjit.com/archive/t-184672-p-4.html

    ๑. เจ้าแม่วัดดุสิต
    เจ้าแม่วัดดุสิต หรือ พระนมบัว (พระนามเดิม "บัว") ทรงเป็นพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษ ที่จะยังพอสืบย้อนขึ้นไปได้ และมีความเป็นไปได้มากที่สุด พระองค์เป็นพระนมชั้นเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระประวัติท่านไม่แน่ชัด บางตำราอ้างว่า ท่านเป็นราชนิกูลชั้น "หม่อมเจ้า" จากราชวงศ์พระมหาธรรมราชาสืบเชื้อสายจากราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย บางตำราก็อ้างว่า เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเอกาทศรถ พระนามว่า "หม่อมเจ้าหญิงอำไพ" ต่อมาในรัชสมัยพระนารายณ์มหาราช ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "พระองค์เจ้าบัว กรมพระเทพามาตย์" ในราชสำนักทรงได้รับพระฉายาว่า "เจ้าแม่ผู้เฒ่า"

    ๒. พระยาโกษาธิปดี (ปาน)

    พระยาโกษาธิปดี (ปาน) โอรสเจ้าแม่วัดดุสิต ทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าเจิดอุภัย แห่งราชวงศ์พระร่วง บางตำราอ้างว่า หม่อมเจ้าเจิดอุภัยนี้ เป็นขุนนางผู้ซึ่งมีเชื้อสายมอญ มีโอรสที่เป็นราชบรรพบุรุษ แห่งราชวงศ์จักรีคือ พระยาโกษาธิปดี (ปาน) ได้รับราชการ 2 สมัย คือ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และในรัชสมัย สมเด็จพระมหาบุรุษวิสุทธิเดชอุดม ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวง (สมเด็จพระเพทราชา) แห่งอาณาจักรอยุธยา เมื่อในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระยาโกษาธิปดี (ปาน) เป็นเอกอัครราชทูตคนสำคัญคนหนึ่ง ในครั้งนั้นดำรงตำแหน่ง "ออกพระวิสุทธิสุนทร" พระยาโกษาธิปดี (ปาน) นี้ท่านได้เป็นส่วนหนึ่งในการต่อต้านฝรั่งเศส ในปลายรัชสมัยพระนารายณ์ซึ่งฝรั่งเศสเข้ามามีอำนาจในราชสำนักสยามมากเกินไป ดังนั้นท่านจึงร่วมกับข้าราชการอื่นๆ รวมถึง พระเพทราชาด้วย หลังจากนั้น พระเพทราชาได้ทำการปราบดาภิเษก (ล้มล้างราชวงศ์ปราสาททอง) ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ภายหลังท่านถึงแก่อนิจกรรมในสมัยสมเด็จพระเพทราชานั้นเอง

    (*สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ท่านก็ชิงราชสมบัติจาก พระศรีสุธรรมราชา และ พระศรีสุธรรมราชา ท่านก็ชิงราชสมบัติจาก สมเด็จเจ้าฟ้าไชย มาเหมือนกัน* ชิงกันไป ชิงกันมา วัฏจักรของกฏแห่งกรรมแท้ๆ)

    ๓. เจ้าพระยาวรวงษาธิราช (ขุนทอง)

    เจ้าพระยาวรวงษาธิราช (ขุนทอง) ท่านเป็นบุตรของพระยาโกษาธิปดี (ปาน) ไม่ทราบนามมารดา เข้ารับราชการเป็นเสนาบดีด้านการต่างประเทศในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ มีบุตรที่เป็นราชบรรพบุรุษ แห่งราชวงศ์จักรีคือ พระยาราชนิกูล (ทองคำ)

    ๔. พระยาราชนิกูล (ทองคำ)

    พระยาราชนิกูล (ทองคำ) ท่านรับราชการ ตำแหน่งปลัดว่าการมหาดไทย ในรัชสมัย สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ หรือ สมเด็จพระภูมินทรมหาราชาท้ายสระ (พระนามเดิม "เพชร") ราชวงศ์บ้านพลูหลวง แห่งอาณาจักรอยุธยา มีบุตรที่เป็นราชบรรพบุรุษ แห่งราชวงศ์จักรีคือ หลวงพินิจอักษร (ทองดี) ต่อมาเลื่อนเป็น "พระอักษรสุนทรศาสตร์" ครั้นในลำดับต่อมามีหลานชื่อ "ทองด้วง" ซึ่งต่อไปจะเป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์

    ๕. พระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี)

    พระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) มีภรรยา บางตำราอ้างว่าท่านแต่งสองคนเป็นพี่น้องกัน คนผู้พี่ชื่อดาวเรือง คนผู้น้องชื่อหยก บางตำราก็ไม่ได้กล่าวถึงเลย กล่าวถึงแต่ชื่อ "ดาวเรือง" ซึ่งเป็นบุตรีของคหบดีชาวจีน ฐานันดรเป็นสามัญชนชั้นกลาง มีบุตรชายด้วยกันชื่อ "ทองด้วง" ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาจักรี ว่าที่เสนาบดีกรมมหาดไทย

    ๖. เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง)

    เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ท่านเกิดในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง หลวงพินิจอักษรเสมียนตราประจำกรมมหาดไทย ต่อมารับราชการเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี

    จากนั้นในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช) เลื่อนขั้นเป็นเจ้าพระยาจักรี ว่าที่เสนาบดีกรมมหาดไทย บิดาชื่อ พระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) และ มีมารดาซึ่งบางตำราอ้างว่า ชื่อ "ดาวเรือง" บางตำราอ้างว่าชื่อ "หยก" แต่จาก วิกิพีเดีย จัดสายลำดับชั้นแล้ว ได้ระบุว่า มารดาของเจ้าพระยาจักรีชื่อ "หยก" ซึ่งผิดกว่าเอกสารบันทึกอื่นๆ ที่ว่า มารดาชื่อ "ดาวเรือง" ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก ต้องหาหลักฐานทางวิชาการให้ได้อย่างน้อยซัก ๒๐ เล่มขึ้นไปมายืนยัน อย่างไรก็ตามชื่อของมารดาเจ้าพระยาจักรีไม่ได้เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะ เจ้าพระยาจักรี นี้ในลำดับต่อมา ได้ทำการปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี

    เมื่อปราบดาภิเษกแล้ว ทรงผ่านพิภพลีลาเข้าสู่มหาเศวตฉัตรเป็นปฐมบรมราชวงศ์จักรี ทรงฉลองพระนามเต็มว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาศกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร์ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาลาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทราธาดาธิบดี ศรีสุวิบูลยคุณอกณิฐ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิเบศร์ โลกเชฐวิสุทธิ์ รัตนมงกุฏประเทศคตา มหาพุทธางกูร บรมบพิตร" พระนามที่เราคุ้นคือ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" แล้วทรงสถาปนาพระราชบิดา ขึ้นเป็น "สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก" พระมารดา ขึ้นเป็น "สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนนี"

    การสมรส หลวงยกกระบัตรสมรสกับนางนาก เดิมเป็นสามัญชนชั้นกลาง อาศัยอยู่ ณ บ้านบางช้าง ตำบลอัมพวา อำเภอเมืองสมุทรสงคราม บิดาชื่อ "ทอง" มารดาชื่อ "สั้น" เป็นคหบดีเชื้อสายมอญ จากหลักฐานที่กระผมค้นคว้ามานั้น สมเด็จฯ ท่านฉลองพระยศตามโบราณราชประเพณีแก่ "คุณนาก" เป็น "สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง" และต่อมาได้ฉลองพระยศให้เป็น "สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี" และ ฉลองพระยศให้มารดา "คุณสั้น" เป็น "สมเด็จพระรูปศิริโสภาค มหานาคนารี" ส่วนบิดาที่ชื่อ "คุณทอง" นั้นได้ถึงแก่พิราลัยไปเสียตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้แต่เรียกว่า "พระชนกทอง"

    สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พระนามเดิม "ทองด้วง") ทรงมีพระราชโอรส ที่เป็นปฐมราชสกุล "รองทรง" ประสูติแต่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (พระนามเดิม "นาก") ในลำดับที่ ๗ คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (พระนามเดิม "จุ้ย","เจ้าฟ้าชายจุ้ย") พระยศเดิมคือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหลวงเสนานุรักษ์

    http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2828.0

    เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีพระคลังในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นออกพระวิสุทธสุนทร และได้เดินทางไปถวายพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อ พ.ศ. 2228 เจรจากับฝรั่งเศสได้

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก น่าจะมีเชื้อสาย จากหมู่บ้านมอญ จีน โปรตุเกส รองพระบาทมีขนาดใหญ่มากต้องสั่งทำพิเศษ มีความเป็นไปได้ว่าสืบสายมาจาก พระนเรศวรมหาราช และอาจมีเชื้อสายของบุเรงนอง จากเชื้อมอญที่อพยพมาจากพม่า สมุทรสาคร และ อยุธยา จนถึงขนาดที่ อะแซหวุ่นกี้ ต้องขอดูตัวแม่ทัพ และน่าจะมีเชื้อสายราชวงศ์ชาห์ จากสุริยวงษ์ เช่นเดียวกับ เฉกอะหมัด ต้นตระกูล บุญยรัตกลิน
    สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนนี อาจจะมีแซ่ เจิ้ง หรือ แซ่แต้ เช่น เดียวกับพระเจ้าตากสิน ที่มีเชื้อ มอญจีน
    มีข่าวว่า องค์ภา เคยไป อิหร่าน

    พ.ศ. 2325







    • องเชียงสือ (ญวน) และนักองค์เอง (เขมร) ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
    • โปรดให้อาลักษณ์คัดนิทานอิหร่านราชธรรม
  • พ.ศ. 2329













  • พ.ศ. 2345


    เจ้าพระยาจักรี" อัครมหาเสนากรมมหาดไทย พร้อมทั้งโปรดให้เป็นแม่ทัพเพื่อไปตีกรุงกัมพูชา โดยสามารถตีเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และเมืองพุทไธเพชร (เมืองบันทายมาศ) ได้ เมื่อสิ้นสงครามสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงโปรดให้นักองค์รามาธิบดีไปครองเมืองพุทไธเพชรให้เป็นใหญ่ในกรุงกัมพูชา และมีพระดำรัสให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาโกษาธิบดีอยู่ช่วยราชการที่เมืองพุทไธเพชรจนกว่าเหตุการณ์จะสงบราบคาบก่อน
    พระองค์เป็นแม่ทัพทำราชการสงครามกับพม่า เขมรและลาว จนมีความชอบในราชการมากมาย ดังนั้น จึงได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิฤกมหิมา ทุกนัครระอาเดช นเรศราชสุริยวงษ์ องค์อรรคบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก" และทรงได้รับพระราชทานให้ทรงเสลี่ยงงากลั้นกลดและมีเครื่องยศเสมอยศเจ้าต่างกรม[4][5]

    Posted by ไปรษณีย์ , ผู้อ่าน : 2069 , 11:36:59 น.
    หมวด : ทั่วไป

    พิมพ์หน้านี้
    โหวต 0 คน




    "บิ๊กบัง" พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่วันนี้กลายเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดยได้รับการปูนบำเหน็จเป็น "รองนายกรัฐมนตรี" คนใหม่ใน ครม. ก่อนหน้านี้ผู้คน โดยเฉพาะชาวมุสลิมต่างค้นหาสาแหรกที่แท้จริงของ "บิ๊กบัง" ว่าเป็นสายไหนกันแน่
    ตระกูล "บุญยรัตกลิน" เป็นนามสกุลพระราชทาน ตามทะเบียนพระราชทานนามสกุล โดย ร.6 พระราชทานให้แก่ นายนาวาตรี หลวงพินิจกลไก (บุญรอด) กองหนุนชั้นที่ 1 กระทรวงทหารเรือ

    ซึ่งหากจะพินิจพิจารณาจากนามสกุลแล้ว หาได้เป็น "มุสลิมชีอะห์" เหมือนกับหลายฝ่ายได้กล่าวอ้าง แต่นามสกุลนี้หากเขียนตามที่ได้รับพระราชทาน คือ "บุณยรัตกลิน" ซึ่งต้นตระกูลถือเป็น "มอญที่ชำนาญการเดินเรือ"
    หนังสือ "ชีวิตและผลงาน พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก" ที่มอบให้ผู้ไปอวยพรวันเกิดที่บ้านเกษะโกมล วันนี้ เขียนถึงที่มาที่ไปของนามสกุลนี้ว่า เป็นการขอยืมมา เพราะเดิมนั้น บิดาของพลเอกสนธิ คือ พันเอกสนั่น บุญยรัตกลิน ใช้นามสกุล "อหะหมัดจุฬา" แต่เนื่องจากนโยบายของรัฐสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่กำหนดให้ข้าราชการที่ใช้ "...นามสกุลที่ไม่คล้ายกับคนไทยให้เปลี่ยน ห้ามใช้" พันเอกสนั่น จึงมาใช้นามสกุลแม่ โดยในหนังสือบันทึกไว้ตามคำพูดของพลเอกสนธิว่า "นามสกุลจริงๆของคุณย่าคือ บุณยรัตกลิน ในสมัยก่อนเป็น "ณ" แต่ไม่รู้ว่าพิมพ์ผิดอย่างไร เลยกลายมาเป็น "ญ" ฉะนั้นอาน้องของคุณพ่อทั้ง 2 คน ก็ยังใช้ "ณ" อยู่ มันผิดมาเรื่อย จนกระทั่งผมเลยกลายเป็น "ญ" ทางคุณพ่อพี่เกาะ (พลเอกสมทัต อัตนันทน์) เป็นคนให้คุณพ่อผมใช้นามสกุลนี้ คุณพ่อก็เลยไปขอจากน้องย่าหรือพี่ของย่าไม่ทราบ ขอมาใช้นามสกุลนี้ แล้วก็ใช้มาโดยตลอด..."


    หากกล่าวถึงตระกูล "อหะหมัดจุฬา" ที่เดิมพ่อของพลเอกสนธิ ใช้นามสกุลนี้ ตามทะเบียนพระราชทานนามสกุล ได้พระราชทานแก่ พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน) จางวางกรมท่าขวา ผู้ช่วยเจ้ากรมกองแสตมป์ กระทรวงยุติธรรม เฉกอะหะหมัดเป็นต้นสกุล เข้ามาแต่แผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม บุตรหลานรับราชการสืบกันมาจนถึงพระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ในรัชกาลที่ 1
    แสดงให้เห็นได้ว่า พลเอกสนธิ เป็นมุสลิม "ชีอะห์อิสนาอะชะรี" (นิกายสิบสองอิหม่าม) สายเฉกอะหมัด ซึ่งมาแต่อาณาจักรเปอร์เซีย-อิหร่าน และรับราชการจนได้เป็นที่ "เจ้าพระยาบวรราชนายก"เพราะความดีความชอบในการปราบปรามกบฎแขกปักษ์ใต้ สมัยแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง

    เฉกอะหมัด มีเชื้อสายต่อมาคือ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) มีลูกต่อมา คือเจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) ที่สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม ต่อมามีลูกคือพระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ) จางวางกรมล้อมพระราชวัง และให้ว่าที่กรมอาสาจามและอาญาญี่ปุ่น ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่บรมโกศ

    "พระยาเพ็ชรพิไชย" นี่เอง ที่ตอนหลังได้เข้ามานับถือศาสนาพุทธ ทำให้ลูกสืบสายสกุลแบ่งแยกออกเป็น 2 สาย คือ สายของ พระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) ที่นับถืออิสลามต่อไป และสายของ เจ้าพระยามหาเสนา (เสน) ที่นับถือพุทธตามพ่อ โดยสายพุทธนั้นต่อมา ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "บุนนาค" และต่อมายังมีการแตกจากสายนี้ไปเป็นหลายสาย เช่น นามสกุล "จุฬารัตน" "ศรีเพ็ญ" "บุรานนท์" "จาติกรัตน์"

    โดยภายหลังผลัดแผ่นดินแล้ว วงศ์เฉกอะหมัดทั้งมุสลิม และพุทธ ต่างผลัดพรากจากกันไป แตกกันไปเป็นหลายสายแต่ก็ได้รับราชการในสมัยรัตนโกสินทร์ต่อมา จนถือว่าเป็นสายวงศ์สกุลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยสายมุสลิมส่วนใหญ่ลูกหลานจะสืบตำแหน่ง "จุฬาราชมนตรี" จางวางกรมท่าขวา ซึ่งรับผิดชอบงานด้านการค้าขายทางเรือ และการต่างประเทศ มาอย่างต่อเนื่อง ...ส่วนสายพุทธ ส่วนใหญ่ก็จะได้ครองตำแหน่งสมุหนายก หรือสมุหพระกลาโหม ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี ดูแลทั้งฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้ ...นอกจากนั้นเหล่าบุตรีของวงศ์เฉกอะหมัด ยังได้เป็นทั้งหม่อมห้าม นางใน พระสนมอยู่หลายองค์

    ส่วนบิดาของพลเอกสนธิ คือพันเอกสนั่นนั้น สืบเชื้อสายมาจากท่านสง่า อะหะหมัดจุฬา ลูกของท่านช่วง ซึ่งเป็นลูกของท่านครูชื่น ที่นับถือกันเป็นนักปราชญ์ของมุสลิมฝ่ายชีอะห์ โดยสาแหรกนี้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน ในศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนธนบุรี โดยนายทำเนียบ แสงเงิน ปรากฏอยู่ที่มัสยิดต้นสน
    http://www.oknation.net/blog/wor1789/2007/10/03/entry-1
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระราชสกุล  http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3765922/K3765922.html


    หลักฐานที่กษัตริย์ไทย มีเชื้อสายชาวต่างประเทศ
    จากกระทู้ข้างล่าง เรื่อง กษัตริย์ไทย มีเชื้อสายชาวต่างประเทศ มีคนต้องการหลักฐาน จึงค้นมาให้ โดยหลักฐาน ที่อ้างถึงข้างล่างนี้ ส่วนใหญ๋ได้ในระหว่างที่เรียน ตปท จึงเป็นภาษาอังกฤษ แต่หนังสือนั้นก็หาได้ตามห้องสมุด ของ ม ในไทยและคิดว่าตอนนี้ คงมีแปลเป็นภาษาไทย แล้วเช่นกัน
    ๑ พระเจ้าอู่ทอง อาจมีเชื้อสายจีน วันวลิตชาวฮอลันดา ที่เข้ามาหลังสมัยพระนารายณ์ เขียนใน Van Vliet Chronicle ว่า พระเจ้าอู่ทอง เป็นโอรสของเจ้าเมืองของจีน ถูกเนรเทศ มาอยู่ทางใต้ของไทย แล้วตั้งเมือง นครศรีธรรมราช เพชรบุรี และ อยุธยา ไม่ทราบว่า วันวลิต ไปเอาที่ไหนมาเขียน แต่ในหนังสือ The Rise Of Ayudhya โดย
    อ. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ( Charnvit Kasetsiri ) บอกว่าคล้ายกับที่มีใน พงศาวดารเหนือ และ พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับ British Museum
    ๒ พระราชบิดาของพระเจ้าตากสินเป็นชาวจีน พระราชมารดาเป็นคนไทย ถ้าหาจากหนังสือประวัติศาสตร์ไทยไม่ได้ก็ดูจากหนังสือ เรื่อง พลิกต้นตระกูลไทย โดย ต้วน ลี เซิง บริษัท เคล็ดไทย จัดจำหน่าย
    ๓. ราชวงศ์จักรีนั้นกล่าวกันว่า ดั้งเดิมมาจากทหารเชื้อสายมอญที่ติดตามมากับพระนเรศวร พอถึงสมัยพระราชบิดาของ ร ๑ ก็สมรสกับธิดาของเศรษฐีจีนที่อยุธยา
    พระราชมารดาของ ร ๔ เดิมเป็นธิดาของเศรษฐีจีนชื่อเจ้าขรัวเงิน จากหนังสือ The kingdom and people of Siam., โดย Bowring, John, Sir With an introd. by David K. Wyatt. Kuala Lumpur, New York, Oxford University Press, 1969 เซอร์ จอห์น เบาริ่ง พิมพ์พระราชหัตถเลขา ของ ร ๔ ที่พระราชทานให้เขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
    และในหนังสือ Leadership and power in the Chinese community of Thailand โดย Skinner, G. William ก็คำนวณให้เห็นว่า แต่ละพระองค์ในราชวงศ์จักรีมีเชื่อสายจีน องค์ละกี่ ปซ.
    ๔ สมเด็จพระราชชนนีของ ร ๙ ไม่มีใครเขียนว่ามีเชื้อสายจีน แต่พระพี่นางทรงพระนิพนธ์ในหนังสือ แม่เล่าให้ฟัง ว่า
    ...ญาติของแม่บางคนเล่าว่าครอบครัวมาจากเวียงจันทน์ แม่บอกว่าอาจเป็นไปได้เพราะที่บ้านชอบทานข้าวเหนียว






      ความคิดเห็นที่ 14 .357 เราไม่ได้อยากต่อล้อต่อเถียง อายุ30+ อีกเท่าไหร่คงไม่จำเป็น เพียงแต่ติดใจว่าคนไทยแท้ต้องไปดูตามไร่นาในชนบท ถ้าดูจากสงครามในอดีต ไทยตีเมืองก็ยึดคนมามากมาย ไทยเสียเอกราชก็ 3 ครั้ง ไอ้ที่เป็นลูกพม่าหล่ะเท่าไหร่ หัวเมืองต่างๆก่อนเป็นไทยก็เป็นการแย่งชิงกันไปมา เชื้อสายก็ผสม ไปหาไทยแท้จากไหนได้ คนที่รู้แล้วคงไม่ต้องถาม ส่วนในภาคกลางสมัยก่อนคนจีนก็ตั้งรกรากกันเยอะอีกส่วนถูกให้ไปอยู่ตอนช่วง จอมพล ป.(ถ้าจำไม่ผิด) เชื้อสายมันผสมมาตั้งเยอะ จากคุณ : ย้ง - [ 4 ธ.ค. 45 22:08:38 A:202.133.168.102 X: ]



      ความคิดเห็นที่ 15 ผมเห็นด้วยกะคุณย้งครับ เราแผ่อาณาเขต(ใช้เวลาเรารุกรานเขา) สมัยก่อนเราก็กวาดต้อนผู้คนมามากมาย การคุมกำเนิดมันมีซะที่ไหนเล่าตอนนั้น พม่าเองก็ล้อมกรุงอยู่เป็นปี มันกับหญิงไทยตามใจชอบ แล้วก็กวาดต้อนผู้คนไปอังวะ และทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อสายจีน แม้กระทั่งนายกบรรหาร ทักษิณ ชวน ถามว่าไทยแท้คือใคร ไทยแท้คืออะไร ชาวนาชาวไร่หรือ ใครจะไปสืบสายตระกูลคนเหล่านั้นได้ บางทีอาจเป็นเชื้อสายทาสที่โดนกวาดต้อนมาเท่านั้นเอง ผมคิดว่าตอนนี้เราแยกไม่ได้ว่าคนไทยคือพวกไหน พวกที่อพยพมาจากเทือกเขาอัลไตตายหมดแล้ว เผลอๆ เชื้อที่มีอยู่น้อยกว่าเชื้อจีนด้วยซ้ำไป มีอยู่ตระกูลเดียวที่เราพอจะสืบหาต้นตอได้คือพระมหากษัตริย์ซึ่งก็ไม่ใช่ไทยแท้ เพราะเราไม่รู้ว่าไทยแท้คืออะไร เพื่อความสามัคคีและความเป็นชาติถ้าเชื้อชาติไทย สัญชาติไทยก็ใช้ได้แล้วครับ แม้แต่ชาวเขาบางกลุ่มรัฐก็ให้เป็นสัญชาติไทยแล้วครับ จากคุณ : s:uoJ - [ วันพ่อแห่งชาติ 15:15:57 ]


      ความคิดเห็นที่ 16 ถ้างั้นหมายความว่าเชื้อชาติในดินแดนแถบนี้ผสมผสานกันมั่วซั่วหมดแล้ว ที่#15ว่าคนไทยส่วนใหญ่เชื้อสายจีน ก็ไม่ใช่ เพราะจีนก็ต้องเสร็จพม่า ไทย ลาว หมดแล้ว เชื้อชาติอื่นก็ทำนองเดียวกัน สรุปดินแดนแทบนี้ไม่มีไทยแท้ จีนแท้ พม่าแท้ มอญแท้ ลาวแท้ ฯลฯแท้ (งงยังมีคนคิดว่าไทยมาจากเทือกเขาอัลไตอีก) คนไทยส่วนมากรึก็หลงด่าพม่ามานานที่แท้ก็บรรพบุรุษตัวเองนี่เอง จากคุณ : ชาวไทถิ่นใต้ - [ 7 ธ.ค. 45 00:18:41 A:203.148.159.180 X:203.144.149.28 ]


      ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่า ลองจินตนาการดีกว่า หากสมัยต้นอยุธยาที่มีกษัตริย์จีนมาปกครองไทยจริงๆ มันต้องเป็นเรื่องแปลกมากๆ เพราะจีนกับไทยสมัยนั้นมันไกลกันมาก ซ้ำยังปรีชาสามารถรวบรวมหัวเมือง สร้างกรุงสำเร็จ ใช้วิชาการปกครองแบบที่ไทยไม่เคยมีมาก่อน (เดิม พ่อปกครองลูก)และมีการแบ่งอำนาจ ถ่วงดุลอย่างแยบยล และผมค่อนข้างเฃื่อว่าวิทยาการสมัยใหม่ที่เรานำมาใช้สร้งบ้านแปงเมืองขณะนั้น ไม่ได้มาจากคนไทยด้วยกันเอง แต่กษัตริย์พระองค์นั้น ก็ปรับตัวจนกลายเป็นไทยไปในที่สุด ตามสภาพแวดล้อม เหมือนสมัยมองโกลปกครองจีน ปกครองไปปกครองมาก็กลายเป็นจีนไปโดยปริยาย จากคุณ : ออด - [ วันรัฐธรรมนูญ 13:41:36 A:203.113.67.68 X: ]


      ความคิดเห็นที่ 18 เชื้อชาติอื่นที่มีมากที่สุดในประเทศนี้ คือ ลาว ครับ เพราะลาวหรือล้านซ้าง โดนกวาดต้อนผู้คนมามากที่สุด ในพงศวดารของลาวบอกไว้ว่า หลังจากกองทัพสยามไปบุกเผาเมืองและได้นำพระแก้วและกวาดต้อนผู้คนประมาณ 400,000 คน เมื่อสมัยสองร้อยปี นับว่ามากโข แถมยังตัดเอาแผ่นดินภาคอีสานปัจจุบัน ซึ่งเป็นดินแดนของลาวในอดีตเข้าไปอีก รวมๆ เข้าถึงทุกวันนี้ ในประเทศไทย มีคนที่มีเชื้อสายลาว หลายสิบล้านคน เผลอๆ อาจจะเกินครึ่ง จะเชื้อชาติไหน หรือชาติใดก็แล้วแต่ ไม่เห็นต้องมาตั้งแง่กันเลยนะครับ เพราะว่า เส้นขอบ พรมแดน มันเป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้่นในยุคล่าอาณานิคมเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์ของคนระหว่างดินแดนต่างๆ ก็เป็นญาติกันเหมือนเดิม จากคุณ : น้องพลับ - [ วันรัฐธรรมนูญ 19:05:01 A:202.129.55.9 X: ]

    http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topicstock/K1915904/K1915904.html

    นอกจากนี้ ยังมีชาวจีนจำนวนมากอพยพมาในหลายสมัย และมีมากจน เจิ้งเหอ ต้องมาแวะ จนมีศาล เจ้า ซำปอกง  และเพิ่มขึ้นมากๆในยุครัตน โก  สิน ทร หลบความแร้นแค้นและกดขี่จากราชวงศ์ชิง และสภาวะสงครามมา  ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ เป็น จปล.และบางคนไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อลาว ที่ถูกต้อนมาเป็นไพร่ทาสในเรือนเบี้ย การปฏิกรรมสงครามในสมัยก่อนมีเพียงแค่ทองคำ แต่ที่สร้างเศรษฐกิจได้มากกว่า คือ แรงงานทาส และ สมัยก่อน เจ้าขุนมูลนาย และคหบดี มักมีเมียหลายคน และมักขี้หลี กินไก่วัด เอาทาสเป็นเมียด้วย แต่ส่วนมากจะไม่ได้ยศ หรือได้รับมรดก หรือ อย่างมากก็ได้เป็นคุณนาย หรือเป็นไท 
    เมื่อเวลาผ่านไปเป้นร้อยปี ด้วยนิสัยเกรงใจ การพูดภาษาลาวจึงค่อยๆหายไป
    ประเทศตะวันตกหลายประเทศก็ใช้ เหตุแห่งการกดขี่ประชาชนการค้าทาส มาเป็นข้อยึดครองชาติต่างๆ เพื่อพัฒนาและปลดปล่อยความเป็นมนุษย์
    แต่ผู้ที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้ รัชกาลที่5 เข้าใจในเรื่อง สิทธิ น่าจะเป็น แหม่ม Anna ที่ รัชกาลที่ 4 ว่าจ้างจากเมืองนอก มาสอนภาษาอังกฤษให้ บรรดา เจ้าฟ้า

    สุลต่าน ตวนกู สุลัยมาน ชาห์  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99_%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B9_%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99_%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B9%8C

    ในสมัยอยุธยาได้มีการออกกฎหมายบังคับให้ให้ผู้ที่รับราชการ ครองตำแหน่งเจ้าเมืองต้องนับถือพุทธเท่านั้น

    รายนามนามสกุลที่สืบเชื้อสายมาจากสุลต่านสุลัยมาน
    1.ณ พัทลุง
    2.ศิริสัมพันธ์ (หรือ สิริสัมพันธ์ ในสมัยที่เปลี่ยน ศ เป็น ส - ยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม )
    คุณหญิงเลื่อน ศิริสัมพันธ์ พระญาติวงศ์ ของสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระราชมารดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ราชินิกุล รัชกาลที่ ๓ ที่มีผู้สืบสายสกุล คือ สายพระยาพัทลุง (ทองขาว)(ราชนิกุล)คุณหญิงเลื่อน ศิริสัมพันธ์ + ขุนดุษฎีวิศวิจัย ต้นสกุล รามสมภพ (นามสกุล พระราชทาน) จาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ต้นราชสกุล บริพัตร)
    3.มิตรกูล
    4.ขัมพานนท์
    5.เศวตรครุมัต
    6.สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    7.วัลลิโภดม
    8.ศรุตานนท์
    9.ศิริธร
    10.ทองคำวงศ์
    11.พิทักษ์คุมพล
    12.พิทักษ์คุมพลศิริวังษา
    13.แสงหลากเลิศ
    14.ปวิตต์วงศ์
    15.ยงใจยุทธ
    16.แก้วไศว
    17.ศรีสง่า
    18.ศรีเจริญ
    19.เรืองทอง
    20.ศิริภาษา
    21.วิทยุ
    22.คชสวัสดิ์
    23.เชาวนกวี
    24.หวันมุดา
    25.มุดาฮูเซ้น
    26.ศรีวรข่าน
    27.ชลายนเดชะ
    28.เศวตะดุล
    29.จารุพันธ์ สาย คุณย่า ประวีณ ณ.พัทลุง

    เจ้าพระยาจักรี (หมุด) หรือ เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ เป็นเจ้าพระยาจักรีคนแรกในแผ่นดินกรุงธนบุรี คนทั้งหลายมักเรียกกันว่า "เจ้าพระจักรีแขก" เป็นบิดาของพระยายมราช (หมัด) หรือจุ้ย และพระยาราชวังสัน (หวัง) ซึ่งเป็นคุณตาของสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้มอบหมายให้ ต้นตระกูล บุญยรัตกลิน   เป็นแม่ทัพไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ  และคนที่ ๓ คือ ลักษมณา ผู้ถูกกองทัพเมืองนครศรีธรรมราชจับตัวไปในคราวที่เจ้าพระยาจักรี (หมุด) ยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. ๒๓๑๒เป็นทหารเอกคนสำคัญคนหนึ่งของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

    เนื้อหา

    [ซ่อน]

    [แก้] กำเนิด

    เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นมุสลิม มีชื่อจริงว่า มะหะหมุด (มะฮฺมูด) เป็นบุตรขุนลักษมณา (บุญยัง) เชื้อสายสุลต่านสุลัยมาน และหม่อมดาว เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๒๗๐ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือพระเจ้าเอกทัศน์ ต่อมามีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงนายศักดิ์นายเวร หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "หลวงนายศักดิ์"

    [แก้] ร่วมกู้เอกราช

    ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาไม่นาน ท่านได้รับพระบรมราชโองการให้เดินทางไปเก็บเงินค่าส่วยสาอากรที่หัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก หลวงนายศักดิ์ได้เก็บเงินจากพระยาจันทบุรีได้เงิน ๓๐๐ ชั่ง พอดีมีข่างกรุงแตกจึงเอาเงินไปฝังไว้ที่วัดจันทร์ ตกค่ำจึงวางแผนให้พรรคพวกชาวจีนมาโห่ร้องทำทีปล้น แล้วบอกพระยาจันทบุรีว่าโจรปล้นเงินไปหมด พระยาจันทบุรีไม่เชื่อสั่งให้จับหลวงนายศักดิ์ ประจวบกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพถึงจันทบุรี หลวงนายศักดิ์จึงหนีออกไปสมทบ เพราะสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเคยทำราชการภายใต้บังคับบัญชาของตน จึงรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน หลวงนายศักดิ์ได้มอบจีนพรรคพวกให้ ๕๐๐ คน กับเงินส่วยสาอากร ๓๐๐ ชั่งที่เก็บไว้นั้น ร่วมกันกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีเมืองจันทบุรีแตก

    พระยาตากเป็นบ้าจริงเหรอ?

    วันหนึ่งเมื่อประมาณ 10 ปี ก่อน ณ สถานที่ทำการบวงศรวง วิญญาณ พระเจ้าตากสิน มีการเชิญคนทรงหญิงชราคนหนึ่งมาด้วย วันนั้นมีวิญญาณหนึ่งอ้างว่า เป็นคนที่ถูกฆ่าด้วยการโบยด้วยไม้จันทน์ ศพในนั้นไม่ใช่พระเจ้าตากสิน !!!
    จุกพลิกประวัติศาสตร์ การกอบกู้กรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าตากสินใช้เวลา 2 ปี พระนเรศวร ใช้เวลา 24 ปี มีการใช้สงครามทางเรือกับพม่าเป็นครั้งแรก ไม่มีการสังหารเชื้อสายพระยาตากเพื่อปราบดา สร้างราชวงศ์จักรี..มีคำร่ำลือว่า อาวุธยุทธพรรณทั้งหมด มาจากจีน !!
    วันหนึ่ง พระเจ้าตาก เรียกพระยาจักรีไปพบ.. "พวกจีนมันมาทวงสัญญาแล้วว่ะ เพื่อไม่ให้สยามต้องตกเป็นเมืองขึ้นของจีน กุต้องเป็นบ้า!!" สัญญานับเป็น โมฆียะ ถ้าทำกับคนบ้า พระเจ้าตากสินยอมเสื่อมชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ตลอดกาลยอมให้คนรุ่นหลังรับรู้ว่าท่านบ้า เพื่อล้างหนี้สงครามที่เรามีกับจีน เหตุผลที่ จีน ให้ยืมอาวุธพวกนี้ เพราะ พระยาตากมีเชื้อสายจีน. หลังจากที่มีคนรับรู้เพียง 3 คน พระยาจักรี จัดฉากประหารชีวิตพระยาตากด้วยไม้จันทน์ตอนย่ำเย็น โดยไม่ทำการสึกพระยาตากที่ว่าบ้าและโกนหัวบวชพระนั้น ไม่มีพิธีการ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย ตอนนั้นพระยาตากหนีขึ้นเรือ เพื่อไปปักษ์ใต้ ลูกหลานที่เหลือของท่านเป็น ต้น สกุล "ณ นคร" นั้นเอง
    26 บทวิจารณ์ | 45,846 คนอ่าน













    http://writer.dek-d.com/ritabunny/story/viewlongc.php?id=481903&chapter=40
    พระเจ้าตากสินมีแส้เจิ้ง ซึ่งแส้เจิ้งนี้จะอ่านออกเสียงได้อีกแบบว่า แซ่แต้ และนามสกุลต่างๆของลูกหลานพระเจ้าตากคือ อินทรกำแหง มหาณรงค์ คชวงศ์ อินทโสฬส ชูกฤส เนียมสุริยะ เชิญธงไชย อินทนุชิต ศิริพร นิลนานนท์ สินศุข อินทรโยธิน พงษ์สิน ศิลานนท์ จันทโรจวงศ์ นพวงศ์ สุประดิษฐ์ อิศรเสนา รุ่งไพโรจน์ อิศรางกูร โกมารกุล ณ นคร ,ณ นคร และ จาตุรงคกุล ไว้เราจะลงเรื่องของพระเจ้าตากให้อีกทีนะคะ
    "น่าประหลาดใจว่า รัชกาลที่ ๑ ทรงได้รับพระราชทานพระนามภาษาจีนว่าเจิ้ง หัว [C. 33] และเป็นโอรสของเจิ้ง เจา [พระเจ้าตากสิน] พระราชบัญญัติของพระจักรพรรดิจีน เกี่ยวกับสยามเมื่อ ค.ศ. ๑๗๘๖ [พ.ศ. ๒๓๒๙] ระบุว่า "เราเห็นแล้วว่าประมุขของประเทศองค์ปัจจุบัน ได้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา กษัตริย์องค์ปัจจุบันได้ส่งคณะทูตเพื่อมาถวายบรรณาการและความจริงใจของพระองค์ก็เป็นที่น่าสรรเสริญ" อาจเป็นไปได้ว่า พระราชสาสน์ของรัชกาลที่ ๑ นั้นมีความเท็จอยู่ก็ได้ หรืออาจเป็นได้ว่า ผู้แปลคำว่า "โอรส" ผิดพลาดมาจากคำว่า "บุตรเขย" ตามที่เจิ้ง จื่อ-หนาน กล่าวถึงคำเจิ้ง หัว เป็นการถอดความจากคำว่า "เจ้าฟ้า" ผิด ซึ่งหมายถึง "มกุฎราชกุมาร" อย่างไรก็ตามมีบันทึกที่ปักกิ่งว่า กษัตริย์ราชวงศ์จักรีมีพระนามว่าเจิ้ง ตามพระเจ้าตากสิน ตราบเท่าที่สยามยังคงส่งบรรณาการให้จีนอยู่"

    (อย่างไรก็ตามบิดาของรัชกาลที่ ๑ ก็เป็นคนไทยแท้ๆ แต่มารดาของ รัชกาลที่ ๑ นั้นได้มีการจดบันทึกไว้ว่าเป็นบุตรสาวชาวจีน)

    "จากพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นภาษาอังกฤษ [ถึงเซอร์จอห์น เบาริ่ง] ที่ทรงบรรยายไว้อย่างเห็นภาพว่า พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ "ได้สมรสกับธิดาสาวสวยของครอบครัวจีน ที่มั่งคั่งที่สุดในย่านจีน...ของอยุธยา" ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วสตรีผู้นี้ก็เป็นพระมารดาของรัชกาลที่ ๑ ฉะนั้นต้นราชวงศ์จักรีจึงเป็นลูกครึ่งจีน...แน่นอนทีเดียวรัชกาลที่ ๑ จะทรงมีพระสนมมากกว่าหนึ่งคนที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวจีน ก็พอจะสรุปได้ว่า พระมารดาของรัชกาลที่ ๒ เป็น "ไทยแท้" ในกรณีนี้รัชกาลที่ ๒ จึงทรงมีเชื้อจีนเศษหนึ่งส่วนสี่ และรัชกาลที่ ๓ ทรงมีเชื้อจีนเศษหนึ่งส่วนแปด

    อย่างไรก็ตามรัชกาลที่ ๔ ทรงเป็นโอรสของรัชกาลที่ ๒ กับสมเด็จพระสุริเยนทรฯ ผู้ซึ่งเป็นพระธิดาของพระพี่นางในรัชกาลที่ ๑ และบิดาที่เป็นเศรษฐีจีน ฉะนั้น เนื่องจากพระมารดามีเชื้อจีนเศษสามส่วนสี่ และพระบิดามีเชื้อจีนเศษหนึ่งส่วนสี่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ [รัชกาลที่ ๔] จึงทรงมีเชื้อจีนครึ่งหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ ๔ กับพระราชนัดดาของรัชกาลที่ ๒ ผู้ซึ่งจะต้องมีเชื้อจีนอย่างน้อยที่สุดก็เศษหนึ่งส่วนสิบห้า ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ [รัชกาลที่ ๕] จึ่งทรงมีเชื้อจีนมากกว่าเศษหนึ่งส่วนสี่...."

    อนึ่ง ขอแทรกไว้ว่าความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างราชสำนักไทยกับจีน ตามระบบการทูตบรรณาการหรือ "จิ้มก้อง" นี้นั้น ได้สะดุดหยุดลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ทรงส่งบรรณาการไปจีนเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๖ หรือ ค.ศ. ๑๘๕๓ อีก ๒ ปีต่อมาสยามก็ลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่ง ปี พ.ศ. ๒๓๙๘ หรือ ค.ศ. ๑๘๕๕ หลุดออกจากวงจรอำนาจของ Pax Sinica เข้าสู่ Pax Britanica และก็น่าสนใจว่าในพระราชสาสน์ที่มีไปมาระหว่างราชสำนักจีนและไทยนั้น รัชกาลที่ ๔ จะใช้ "พระแซ่แต้" และพระนาม "เป๋ง" (แต้ เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว ซึ่งตรงกับ "เจิ้ง" ในภาษาจีนกลางนั่นเอง และแซ่แต้ ก็เป็นพระแซ่ของพระเจ้ากรุงธนบุรี (ตากสิน) ด้วยเช่นกันกับราชวงศ์จักรีตอนต้น)

    พระราชลัญจกรตัวหนังสือจีนของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ที่ทรงประทับในสารส่งให้เซอร์จอห์น เบาริ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ หรือ ค.ศ. ๑๘๕๕ อ่านได้ความว่า พระแซ่แต้ (เจิ้ง) พระนามเป๋ง (หมิง) ตัวอักษรบนและล่างตามลำดับ (จากหนังสือ The Kingdom and People of Siam : Sir John Bowring ฉบับพิมพ์ปี ๑๘๕๗)

    แน่นอนถ้าหากจะนำการวิเคราะห์ของสกินเนอร์ดังกล่าวข้างต้น ก็คงจะไม่เข้ากรอบของประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยใหม่ ที่เป็นเรื่องของ "ราชา-เชื้อชาตินิยม" ของ "เผ่าไทย" (ของทั้งรัชกาลที่ ๖ ทั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม และทั้งหลวงวิจิตรวาทการ) แต่อย่างใด แต่ในยุคสมัยปัจจุบันที่ต้องการความ "สมานฉันท์" และ "ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม" กลายเป็นมนตราท่องบ่นกัน ก็หวังว่าข้อมูลอดีตข้างต้นน่าจะนำมาเป็นประโยชน์สำหรับยามยากในปัจจุบันสมัยของเรา

    จุดเด่นของงานของสกินเนอร์คือ การให้ภาพของการอพยพโยกย้ายแรงงานจีนจำนวนมหึมาเข้าสู่สยามในช่วงต้นและกลางรัตนโกสินทร์ การจำแนกแจงแจกให้เห็น "ความหลากหลาย" ของกลุ่มสำเนียงภาษาถิ่นต่างๆ ของจีน (ไม่ว่าจะเป็นแต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ ฯลฯ) การเข้าสู่อาชีพตามความถนัดและความจำเป็นของคนจีนเหล่านั้น และ "การผสมกลมกลืน" (assimilation) ประสานกันเข้ากับสังคมและชนชาติไทย/และหรือชาติอื่นๆ ตลอดจนการถูกเลือกปฏิบัติการกีดกันและการบีบบังคับ (นับแต่สมัยของรัชกาลที่ ๖ จนถึงสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒) ในเรื่องของชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรมอันเป็นตัวอย่าง "คลาสสิค" แต่ค่อนข้าง "ประสบ" ความสำเร็จของรัฐบาลกลางของไทย

    ที่มา: http://www.matichon.co.th/art/art.php?srctag=0604011248&srcday=2005/12/01&search=no


    ในสมัย รัชกาลที่4 เคย ทรงฉลองพระองค์แบบ ราชวงศ์ชิง  และ มี องค์ชายสี่ แห่งราชวงศ์ชิง ลี้ภัยมาอยู่ในไทย

    สมเด็จย่า เป็นลูกคหบดีชาวจีน ซึ่งอาจมีเชื้อลาวด้วย
    สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงสืบสายพระโลหิตจากรัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาอ่วม
    ซึ่งทางฝ่ายเจ้าจอมมารดาอ่วมนั้น เป็นธิดาของอภิมหาเศรษฐีจีนแท้ๆ คือเจ้าสัวยิ้ม
    หรือพระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ (ต้นตระกูลพิศัลยบุตร)
    เมื่อประสูติพระราชโอรสออกมาทรงพระนามว่าพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
    ทำให้ทรงมีเชื้อจีนที่ค่อนข้างเข้มข้น ทางต้นราชสกุลกิติยากร


    http://www.thairath.co.th/content/edu/231623

    ประวัติตระกูลสุลต่านสุลัยมาน  http://www.navy.mi.th/navic/document/840806a.html



    http://jackkth.blogspot.com/2010/02/blog-post_05.html

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น